นอกจากจอมโจร ณัฐฐาวาลา บริษัทอินเดียตะวันออกก็เคยคิดจะขาย ต๊าชมาฮัล (Taj Mahal) ?

ทัชมาฮาล ต๊าชมาฮัล
ทัชมาฮาล ถ่ายเมื่อ 11 มีนาคม ค.ศ. 2018 (Photo by Ludovic MARIN / AFP)

นอกจากจอมโจร “ณัฐฐาวาลา” บริษัทอินเดียตะวันออก ก็เคยคิดจะขาย “ต๊าชมาฮัล” (Taj Mahal) หรือ “ทัชมาฮาล” ?

ณัฐฐาวาลา นักต้มตุ๋นในตำนานของอินเดีย

หาก แฟรงค์ วิลเลี่ยม อแบกเนล จูเนียร์ (Frank William Abagnale Jr.) คือสุดยอดนักต้มตุ๋นชาวอเมริกัน ผู้เชี่ยวชาญด้านการปลอมแปลงเอกสาร ลายเซ็น เช็คเงินสด รวมถึงการปลอมตัว ที่หาตัวจับได้ยากคนหนึ่งของโลก ถึงขนาดที่ฮอลลีวูด (Hollywood) ได้นำอัตชีวประวัติของอแบกเนล ไปสร้างเป็นภาพยนตร์ชื่อดังเรื่อง Catch me if you can 

ในกรณีของอินเดียก็มีเรื่องราวของสุดยอดนักต้มตุ๋นคนหนึ่ง ที่มีความสามารถรวมถึงการก่อคดีต่าง ๆ นับร้อยคดี ที่มีลักษณะคล้าย ๆ กับอแบกเนล จนติดอันดับเป็นอาชญากรผู้หนึ่งที่ตำรวจอินเดียต้องการตัวมากที่สุด เขาผู้นั้นคือ มิทริเลศ กุมาร ศรีวาสตวา (Mithilesh Kumar Srivastava) แต่ประชาชนและตำรวจอินเดียจะคุ้นกับเขาผู้นี้ในชื่อ ณัฐฐาวาลา (Natwarlal)และความคล้ายคลึงของเขากับอแบกเนล อีกประการก็คือมีการดัดแปลงเอาอัตชีวประวัติส่วนหนึ่งของ ณัฐฐาวาลา มาใช้เพื่อสร้างเป็นภาพยนตร์อินเดียแล้วถึง 2 เวอร์ชันด้วยกัน

หากไม่นับคดีการปลอมลายเซ็นเช็ค เพื่อยักยอกเงินจากบัญชีของผู้อื่น ณัฐฐาวาลา ยังมีความช่ำชองในเรื่องการปลอมตัว เพื่อต้มตุ๋นผู้คนในสังคมจนเกิดคดีใหญ่ ๆ มากมาย เช่นการปลอมตัวเป็นนักสังคมสงเคราะห์ เพื่อระดมเงินช่วยเหลือผู้ยากไร้ จนประสบความสำเร็จในการเรียกร้องเงินบริจาคจากมหาเศรษฐีของอินเดียอย่าง ธีรุภัย อัมบานี (Dhirubhai Ambani) ผู้ก่อตั้งกลุ่มรีไลแอนซ์ อินดัสตรี (Reliance Industries) ซึ่งต่อมาจะกลายเป็นกลุ่มทุนอุตสาหกรรม ปิโตรเคมี และโทรคมนาคมที่ใหญ่ที่สุดกลุ่มหนึ่งของอินเดีย และผู้บริหารระดับสูงของกลุ่มทาทา (Tata Group)

ต่เรื่องราวที่โจษจันที่สุดของณัฐฐาวาลาก็คือ การหลอกขาย ต๊าชมาฮัล (Taj Mahal) หรือ ทัชมาฮาล อนุสรณ์แห่งความรักอันเลื่องชื่อของอินเดียให้กับนักท่องเที่ยวและเศรษฐีต่างชาติ ด้วยกลวิธีที่แยบยล

ณัฐฐาวาลาได้แสร้งตนเป็นตัวแทนของรัฐบาลอินเดีย ที่ทำหน้าที่เจรจาการซื้อขายกับเหยื่อ พร้อมด้วยการสร้างความน่าเชื่อถือเพิ่มเติม ด้วยการทำสัญญาการขายพร้อมการลงนามโดย ราเชนทร์ ปราสาท (Rajendra Prasad) ประธานาธิบดีคนแรกของสาธารณรัฐอินเดีย ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่า เป็นสัญญาการขายและลายเซ็นปลอม

ณัฐฐาวาลาสามารถหว่านล้อมให้เศรษฐีต่างชาติแต่ละรายหลงกล และยอมจ่ายเงินเพื่อซื้อต๊าซมาฮัลจากเขาได้สำเร็จถึง 3 ครั้ง แต่ก็ยังไม่มีครั้งใดเลยที่ต๊าชมาฮัลจะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของใคร นอกจากรัฐบาลของสาธารณรัฐอินเดีย แม้ว่าตำรวจอินเดียจะมีความพยายามตามจับตัวณัฐฐาวาลาอย่างอุตสาหะแค่ใดก็ตาม แต่ก็ดูเหมือนว่าเขาจะสามารถรอดพ้นจากกฎหมายได้หลายครั้ง เนื่องจากความฉลาดในการใช้เงินจำนวนมหาศาลที่ได้ฉ้อโกงจากการหลอกขายต๊าชมาฮัลในการแจกจ่ายให้กับผู้คน เพื่อแลกกับการหลบซ่อนกบดานนั่นเอง

บริษัทอินเดียตะวันออก กับการวางแผนประมูลขาย “ต๊าชมาฮัล”

สำหรับกรณีการขายสถาปัตยกรรมยุคกลาง ซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน กรณีของณัฐฐาวาลาน่าจะเป็นกรณีแรกและกรณีเดียวในประวัติศาสตร์อินเดีย แต่หากย้อนเวลากลับไปในช่วงต้นคริสตศตวรรษที่ 19 ในยุคสมัยที่อินเดียยังคงเป็นอาณานิคมของอังกฤษ ผู้คนบางส่วนโดยเฉพาะผู้ที่ไม่ได้คลุกคลีหรือให้ความสนใจกับประวัติศาสตร์อาณานิคมอินเดีย อาจจะคาดไม่ถึงเลยว่า ครั้งหนึ่งบริษัทอินเดียตะวันออก (East India Company) ของอังกฤษ จะเคยมีความพยายามในการขายต๊าชมาฮัล โดยทุบทำลายและนำหินอ่อนสีขาวดุจงาช้างมาประมูลขายทอดตลาด

เราไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า แม้ว่ารัฐบาลอาณานิคมของอังกฤษจะทิ้งมรดกที่เลวร้ายไว้ให้กับอินเดียจนกลายเป็นปัญหาเรื้อรังที่ซับซ้อน และยากเกินจะแก้ไขในสังคมอินเดียร่วมสมัยหลายประการ ยกตัวอย่างเช่น เรื่องความเป็นปฏิปักษ์กันระหว่างชุมชนฮินดูกับชุมชนมุสลิม (Communalism) ก็ตาม แต่คุณูปการสำคัญในเชิงบวกประการหนึ่งของรัฐบาลอาณานิคมของอังกฤษก็คือ การวางรากฐานด้านโบราณคดีให้กับอินเดีย

โดยเฉพาะเมื่อ อเล็กซ์ซานเดอร์ คันนิ่งแฮม (Alexander Cunningham) บิดาแห่งโบราณคดีอินเดีย ได้ก่อตั้งกองสำรวจโบราณคดีอินเดีย (Archaeological Survey of India- ASI) ใน ค.ศ. 1861 อันมีผลโดยตรงที่ทำให้โบราณสถานสำคัญของอินเดียได้รับการขุดแต่งบูรณะตามหลักวิชาการ และถูกขึ้นทะเบียนเป็นสาธารณสมบัติ

การใช้ยกพื้นไม้ไผ่เพื่ออำพรางต๊าชมาฮัลในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 (ภาพจาก https://en.wikipedia.org/wiki/Taj_Mahal)

ต๊าชมาฮัล ก็เป็นหนึ่งในโบราณสถานที่บรรดานักโบราณคดีอังกฤษต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า คืออัญมณีล้ำค่าของ “บริติชราช” (British Raj) แม้แต่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 อันเป็นช่วงรัฐบาลอังกฤษมีการตัดรายจ่ายที่ฟุ่มเฟือยและไม่จำเป็นในอินเดีย เพื่อทำสงครามกับนาซีเยอรมนี และป้องกันอินเดียจากกองทัพญี่ปุ่น รัฐบาลอังกฤษกลับมีการอนุมัติงบประมาณฉุกเฉินสำหรับการป้องกันต๊าชมาฮัลให้รอดพ้นจากภัยที่อาจเกิดขึ้น หากอินเดียถูกโจมตีทางอากาศ โดยการสร้างโครงยกพื้นที่ทำจากไม้ไผ่ เพื่อใช้ในการอำพรางต๊าชมาฮัลให้รอดจากการถูกตรวจตราจากเครื่องบินรบของข้าศึก ด้วยเหตุนี้เอง จึงเป็นสิ่งที่ยากเกินกว่าจะจินตนาการได้ว่ารัฐบาลอังกฤษจะเคยมีแผนการที่จะทุบต๊าชมาฮัล เพื่อนำหินอ่อนไปขายได้อย่างไร

การวางแผนทุบทำลายต๊าชมาฮัลโดยอังกฤษ เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อราว ค.ศ. 1830 ผู้ที่เป็นตัวต้นคิดของแผนการณ์นี้คือ ลอร์ด วิลเลียม เบนติงก์ (Lord William Bentinck) ข้าหลวงใหญ่อังกฤษประจำอินเดีย (Governor General of British India) หลังจากรับตำแหน่ง ลอร์ด เบนติงก์ ได้รับความคาดหวังอย่างมากจากสภาล่างอังกฤษ (House of Commons) ในการเข้ามากอบกู้สถานะทางการเงินของบริษัทอินเดียตะวันออก ที่กำลังซบเซาจากการทำสงคราม เพื่อขยายอิทธิพลในอินเดียมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นสงครามกับพวกมราฐา (Maratha) ในช่วงต้นคริสตศตวรรษที่ 19 หรือแม้แต่สงครามขยายดินแดนในพม่า ด้วยพันธะผูกพันเช่นนี้ จึงอาจจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ลอร์ด เบนติงก์ มีความคิดที่จะรื้อต๊าชมาฮัล หรือ ทัชมาฮาล และนำเอาหินอ่อนไปประมูลขาย เพื่อนำรายได้เข้าสู่คลังของบริษัทอินเดียตะวันออก

นักวิชาการอังกฤษกับคำค้าน

อย่างไรก็ตาม นักวิชาการและนักประวัติศาสตร์อังกฤษในสมัยต่อมา โดยเฉพาะในศตวรรษที่ 20 กลับมีความเห็นต่อเรื่องราวดังกล่าวว่า ไม่น่าจะเป็นไปได้ เซอร์ เพอซิวัล สเปียร์ (Sir Perceval Spear) ได้เขียนบทความตอบโต้โดยใช้ชื่อว่า Bentinck and the Taj ตีพิมพ์ในวารสาร The Royal Asiatic Society of Great Britain and Ireland เมื่อ ค.ศ. 1949 เซอร์ สเปียร์ ให้ข้อเสนอว่า หลักฐานส่วนใหญ่ที่พูดถึงเรื่องการประมูลขายต๊าชมาฮัล ล้วนแต่เป็นหลักฐานที่ไม่ใช่เอกสารราชการของบริษัทอินเดียตะวันออก และทิ้งท้ายว่า เรื่องราวนี้น่าจะถูกแต่งขึ้นโดยศัตรูทางการเมืองของลอร์ด เบนติงก์ ที่ต้องการทำลายชื่อเสียงของเขา 

นอกจากนี้ ยังมีมุมมองที่น่าสนใจอื่นๆ จากนักวิชาการอังกฤษสายอาณานิคม ที่มองว่า หาก ลอร์ด เบนติงก์ มีความคิดเช่นนั้นจริงๆ ก็นับได้ว่าเป็นสิ่งที่ขัดกับบริบทของชนชาติอังกฤษในขณะนั้น ที่มองว่าตนเองคือผู้ที่เจริญแล้ว ฉะนั้นเมื่อผู้ที่เปรียบเปรยตนว่าเป็นผู้ที่เจริญกว่า แล้วเข้ามายังดินแดนของกลุ่มคนที่เจริญน้อยกว่าอย่างอินเดีย การทุบทำลายต๊าชมาฮัลน่าจะเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงความป่าเถื่อนของผู้ที่ล้าหลังทางวัฒนธรรมและไร้ความเจริญ ซึ่งถ้าเกิดขึ้นจริง นั่นหมายความว่า อังกฤษในขณะนั้นอาจจะกำลังกลืนน้ำลายตัวเอง

อีกประการหนึ่งคือภาพลักษณ์ของลอร์ด เบนติงก์ ที่มักจะถูกสะท้อนอยู่ในงานประวัติศาสตร์นิพนธ์อินเดียส่วนหนึ่งว่า เป็นผู้มีคุณูปการสำคัญกับการวางรากฐานของการปฏิรูปแนวคิดและวัฒนธรรม ธรรมเนียมปฏิบัติของชาวฮินดูให้เป็นแบบมนุษยนิยมมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

ลอร์ด วิลเลี่ยม เบนติงก์ (Lord William Bentinck) ข้าหลวงใหญ่อังกฤษประจำอินเดีย ค.ศ. 1828 -1835)

นักประวัติศาสตร์ศิลปะอินเดีย กับการเสนอข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์

แม้จะมีผู้ที่สนใจเกี่ยวกับเรื่องราวของประวัติศาสตร์อินเดียส่วนหนึ่ง รวมถึงตัวผู้เขียนเองที่มองว่า เกร็ดประวัติศาสตร์เล็ก ๆ เรื่องนี้ น่าจะเป็นเรื่องที่สร้างความอึกทึกครึกโครม ให้แก่ผู้ที่ได้รับฟังเป็นครั้งแรก และน่าจะเป็นโจทย์ตั้งต้นสำคัญสำหรับกระบวนการหาคำอธิบายสำหรับการทำความเข้าใจกับปรากฏการณ์นี้ ในทางตรงกันข้าม เรากลับไม่พบงานวิชาการในหมู่นักวิชาการอินเดียเกี่ยวกับประเด็นนี้มากนัก ข้อน่าสังเกตอีกประการคือ นักต่อสู้เพื่อเอกราชของอินเดียก็ไม่ได้ใช้ประเด็นนี้ในการใช้สร้างเป็นวาทกรรมการเมือง เรื่องการขายทรัพย์สาธารณสมบัติของชาวอินเดีย ในการให้ร้ายรัฐบาลอังกฤษ

จนกระทั่งในช่วง ค.ศ. 2016-2017 กาวิต้า ซิงห์ (Kavita Singh) ศาสตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์ศิลปะอินเดีย จากมหาวิทยาลัยจาวาหะร์ลาล เนห์รู (Jawaharlal Nehru University) ได้เปิดเผยส่วนหนึ่งของงานวิจัยเกี่ยวกับประเด็นนี้ หลังจากที่ท่านได้ทำการศึกษาและเก็บข้อมูลหลักฐานชิ้นใหม่ๆ จากหอจดหมายเหตุในประเทศอินเดียและอังกฤษ จนค้นพบเรื่องราวเกี่ยวกับการวางแผนในการประมูลขายหินอ่อนจากต๊าชมาฮัลโดยบริษัทอินเดียตะวันออก

กาวิต้า ซิงห์ ได้ทำการตั้งคำถามกับกรณีที่นักประวัติศาสตร์อังกฤษอย่าง เซอร์ เพอซิวัล สเปียร์ ที่ได้เคยปฎิเสธความน่าเชื่อถือของหลักฐานร่วมสมัยในขณะนั้น เนื่องจากเอกสารส่วนใหญ่ไม่ได้มาจากทางหน่วยงานราชการของบริษัทอินเดียตะวันออก และรัฐบาลบริติชอินเดีย ซึ่งกาวิต้า ซิงห์ กลับตั้งข้อสังเกตที่สำคัญอย่างหนึ่งว่า แม้หลักฐานเหล่านั้นส่วนหนึ่งจะบันทึกส่วนตัว แต่ผู้บันทึกก็คือคนที่ทำงานในรัฐบาลของบริติชอินเดีย

หนึ่งในบันทึกที่กล่าวถึงการประมูลขายต๊าชมาฮัล ที่ กาวิต้า ซิงห์ ยกมาก็คือ Journal of my life in India ของ ลอร์ด มาร์คัส เบเรสฟอร์ด (Lord Marcus Beresford) นายทหารอังกฤษที่เริ่มเข้ามาประจำการที่อินเดียตั้งแต่วันที่ 28 สิงหาคม ค.ศ. 1836 จนกระทั่งถึง ค.ศ. 1840 แม้ว่าลอร์ด มาร์คัสจะรับราชการในอินเดียหลังจากที่ ลอร์ด เบนติงก์ พ้นจากวาระการเป็นข้าหลวงใหญ่ประจำอินเดียไปแล้วประมาณ 1 ปีเศษ แต่เขากลับบันทึกเกี่ยวกับเรื่องราวที่ชาวอังกฤษในอินเดียมักจะนิยมสนทนากันในวงสังคมข้าราชการ

เรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งกลายเป็นเหตุบังเอิญที่ทำให้กาวิต้า ซิงห์ ได้สืบทราบว่า ก่อนหน้าที่ ลอร์ด เบนติงก์ จะมีแผนการในการประมูลขายต๊าชมาฮัล เขาได้เคยสั่งให้มีการรื้อเสาและซุ้มรูปโค้งของสถาปัตยกรรมแห่งหนึ่ง เพื่อนำหินอ่อนไปประมูลขาย สถาปัตยกรรมนี้คือ ชาฮี ฮัมมัม (Shahi Hammam) ตั้งอยู่ในตัวอาคารชั้นในของป้อมปราการแดงหรือเรดฟอร์ต (Red Fort) เมืองอักรา (Agra) ชาฮี ฮัมมัม แปลตรงตัวคือ ที่สรงน้ำของจักรพรรดิ สร้างจากหินอ่อน, ประดับด้วยเสาหินที่สร้างจากหินทรายสีแดง, ซุ้มโค้งหินอ่อน

สันนิษฐานว่า เป็นของจักรพรรดิ ชาห์ จาฮัน (Shah Jahan) ซึ่งการประมูลขายหินอ่อนและก้อนหินทรายเหล่านี้ไม่ได้ทำกำไรให้กับบริษัทอินเดียตะวันออกแต่อย่างใด ผู้ประมูลส่วนใหญ่มองว่า ลักษณะของหินอ่อนและหินทรายสีแดงไม่เหมาะสำหรับการนำมาใช้ก่อสร้างหรือประดับให้เข้ากับสิ่งปลูกสร้างแบบตะวันตกได้ หากจะใช้ประโยชน์คงใช้ได้เพียงแค่เป็นที่ทับกระดาษราคาแพงเท่านั้นเอง

หลักฐานชิ้นต่อมาที่กล่าวถึงการรื้อต๊าชมาฮัลที่ กาวิต้า ซิงห์ ได้ใช้ในการค้นคว้าคือ บันทึกของ เซอร์ วิลเลียม เฮนรี่ ชลีแมน (Sir William Henry Sleeman) นายทหารมือปราบอาชญากรชื่อดังของรัฐบาลบริติชอินเดีย โดยเฉพาะผลงานสำคัญคือการกวาดล้างกลุ่มโจรปล้นลักพาตัว เรียกค่าไถ่ ในตอนกลางของอินเดีย ที่รัฐบาลอังกฤษเรียกว่าพวกทักกี (Thuggee) เช่นเดียวกันกับ ลอร์ด มาร์คัส ชลีแมนก็ได้ระบุถึงการรื้ออาคารในบริเวณเรดฟอร์ทอย่างสั้น ๆ ว่า ถ้าพวกวัสดุที่ถูกรื้อสามารถนำไปขายได้ในราคาที่พึงประสงค์ อาจจะต้องมีการรื้อตัวเรดฟอร์ตทั้งหมดรวมถึงต๊าชมาฮัลด้วย

นอกจากนี้ กาวิต้า ซิงห์ ยังได้อาศัยหลักฐานประเภทอื่นๆ เช่น บันทึกของนักท่องเที่ยวชาวตะวันตกที่เดินทางเข้ามาในอินเดียช่วงกลางคริสตศตวรรษที่ 19 และพาดหัวข่าวของหนังสือพิมพ์ฉบับภาษาอังกฤษที่พิมพ์ในเมืองกัลกาต้า หลักฐานเหล่านี้นอกเหนือจะช่วยตอกย้ำว่า ครั้งหนึ่งบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษเคยคิดที่จะประมูลขายต๊าชมาฮัลแล้ว ยังให้ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์เพิ่มเติมที่ทำให้พวกเราสามารถหาคำอธิบายได้ว่า เพราะเหตุใดโครงการนี้จึงยกเลิกไป

คำตอบก็คือราคาประมูลต่ำเกินกว่ามูลค่าที่ ลอร์ด เบนติงก์ คาดหวังเอาไว้ หนังสือพิมพ์จอห์ บูล (John Bull) ฉบับวันที่ 26 กรกฎาคม ค.ศ. 1831 ได้ลงรายละเอียดว่า ต๊าชมาฮัลถูกประมูลไปได้แค่ 2 แสนรูปี ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่ต่ำเกินไป

กาวิต้า ซิงห์ ได้นำข้อสนเทศในหนังสือพิมพ์ไปเทียบกับเนื้อหาที่ถูกจดบันทึกโดยชาวต่างชาติที่เข้ามาท่องเที่ยวอินเดียในขณะนั้น อาทิ บันทึกของแฟนนี่ พาร์ค (Fanny Park) ชื่อ Wanderings of a pilgrim in search of Picturesque แล้วพบความสอดคล้องของข้อเท็จจริงประการหนึ่งคือ มีการประมูลต๊าชมาฮัลกันจริงๆ ในช่วง ค.ศ. 1831 ซึ่งมีการประมูลกันอย่างน้อย 2 ครั้ง และผู้ที่เสนอราคามากที่สุดกลับไม่ใช่ชาวอังกฤษ แต่กลับเป็นเศรษฐีฮินดู นาม เศรษฐ์ ลักษมีจัน (Seth Laxmichand) นายธนาคารผู้มั่งคั่งจากเมืองมาทุรา (Mathura) เศรษฐ์เสนอราคาประมูลครั้งแรกไว้ที่ 2 แสนรูปี และเสนอครั้งที่ 2 ไว้ที่ 7 แสนรูปี แต่ดูเหมือนว่าทางบริษัทอินเดียตะวันออกยังคงไม่พอใจกับราคา จึงอาจจะทำให้โครงการนี้ต้องปิดตัวไปอย่างเงียบ ๆ ในประวัติศาสตร์อินเดียยุคอาณานิคม

เจ้าหญิงไดอานา นั่ง อยู่ ด้านหน้า ทัชมาฮาล
เจ้าหญิงไดอานา (Princess Diana of Wales) ประทับฉายพระรูปที่ทัชมาฮาลเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1992 (Photo by DOUGLAS E. CURRAN / AFP)

บทส่งท้าย

แม้งานศึกษาของกาวิต้า ซิงห์ จะยังไม่ได้เผยแพร่หรือตีพิมพ์ออกมาโดยสำนักพิมพ์ใดๆ ของอินเดีย แต่สิ่งที่ กาวิต้า ซิงห์ มักจะกล่าวถึงเสมอระหว่างเดินสายบรรยายหัวข้อนี้ตามมหาวิทยาลัยทั้งในอังกฤษและอินเดียก็คือ เธอเชื่อว่าหลักฐานชิ้นสำคัญเกี่ยวกับการประมูลขายต๊าชมาฮัลของบริษัทอินเดียตะวันออก น่าจะซ่อนตัวอยู่ตามหอจดหมายเหตุทั่วอินเดีย และในกรุงลอนดอนของอังกฤษ และกำลังรอนักประวัติศาสตร์ผู้สนใจไปทำการค้นหา และกล่าวถึงประเด็นคำถามสำคัญที่เธอกำลังหาคำตอบอยู่ ซึ่งก็คือ มีสาเหตุอื่นที่นอกเหนือจากราคาประมูลที่ต่ำเกินไปหรือไม่ ที่ทำให้บริษัทอินเดียตะวันออกยกเลิกการประมูลขายอนุสาวรีย์ อันเป็นสัญลักษณ์ของความรักนิรันดรแห่งนี้

ซึ่งข้อสมมติฐานที่เธอได้ตั้งไว้คือ เป็นไปได้หรือไม่ที่เกิดกระแสต่อต้านการขายประมูล จากทั้งชุมชนชาวตะวันตกในอินเดีย และจากชุมชนของชาวอินเดีย จนอาจบานปลายจนก่อให้เกิดการประท้วง และอาจทำให้มีผลกระทบต่อเสียรภาพของรัฐบาลบริติชราจในขณะนั้น

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


อ้างอิง :

Bandyopadhyay, Sekhar. 2004. From Plassey to Partition: A History of Modern India.  New Delhi: Orient Blackswan.

Chavan, Akshay. 2018. The Plan to sell the Taj. สืบค้นจาก https://www.livehistoryindia.com/snapshort-histories/2018/04/01/the-plan-to-sell-the-taj [8 สิงหาคม 2562]                                                                          

Koch, Ebba. 1982. The Lost Colonnade of Shah Jahan’s Bath in the Red Fort of Agra. The Burlington Magazine. 124, (951). pp. 331-339

Prakash, Om. 2004. Lord William Bentinck and Metcalfe Era of Reforms. New Delhi: Anmol Publications.

Spear, Percival. 1949. Bentinck and the Taj. The Journal of the Royal Asiatic Society of Great Britain and Ireland. 81(3-4). 180-187.


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 13 สิงหาคม 2562