Podcast EP3 “พระราชพิธีบรมราชาภิเษก” เรื่องเครื่องราชกกุธภัณฑ์ โดยรศ.ดร. ศานติ ภักดีคำ

ประวัติศาสตร์ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เข้าใจประวัติศาสตร์ รู้ทันอนาคต สนทนาศิลปะ-วัฒนธรรม กับ “ศิลปวัฒนธรรม Podcast” ใน Season แรกมาร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนกันเกี่ยวกับ “พระราชพิธีบรมราชาภิเษก” จำนวน 5 ตอน พบกันทุกวันจันทร์ เวลา 19.30 น. เริ่มตั้งแต่วันจันทร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2562 เป็นต้นไป

Advertisement

ใน EP.3 ว่าด้วยเรื่อง “เครื่องราชกกุธภัณฑ์” โดยรศ. ดร. ศานติ ภักดีคำ

มาร่วมหาคำตอบใน “ศิลปวัฒนธรรม Podcast”  (คลิกฟัง Podcast EP1 เรื่องคติจักรพรรดิราช โดยศ.ดร.สุเนตร ชุตินธรานนท์

และ EP2 เรื่อง น้ำสรงพระมุรธาภิเษก โดยอ.รุ่งโรจน์ ภิรมย์อนุกูล)

Index

0:48 ความหมายและความเป็นมาของเครื่องราชกกุธภัณฑ์
5:03 หลักฐานที่พบเกี่ยวกับเครื่องราชกกุธภัณฑ์
7:12 ลักษณะเครื่องสำหรับราชาภิเษกของสมเด็จพระมหากษัตริย์
15:53 เกร็ดเพิ่มเติม

ติดตาม Podcast โดย ศิลปวัฒนธรรม ที่

Podbean
Soundcloud
YouTube



ความเป็นมาและอิทธิพลทางแนวคิด

เครื่องราชกกุธภัณฑ์คือเครื่องที่ใช้เพื่อแสดงถึงสถานะของความเป็นพระราชาหรือพระเจ้าแผ่นดิน คือสิ่งที่เป็นสัญลักษณ์แสดงว่าผู้ที่มีครอบครองเป็นพระเจ้าแผ่นดินโดยสมบูรณ์ ในปัจจุบันเรียกกันว่าเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์

แนวคิดเครื่องราชกกุธภัณฑ์ของไทยได้รับอิทธิพลจากอินเดีย โดยนำมาใช้เป็นเครื่องประกอบพระราชอิสริยยศของพระเจ้าอยู่หัวหรือพระมหากษัตริย์ไทยนับตั้งแต่สมัยโบราณ หลักฐานที่สำคัญในเรื่องนี้ปรากฏอยู่ในเอกสารหลายฉบับ ถ้าดูจากหลักฐานเก่าที่สุดในเอกสารที่เขียนเป็นภาษาไทยคือในเอกสารที่เรียกกันว่าจารึกของพระมหาธรรมราชา พระยาลิไท มีการอ้างถึงในเรื่องกษัตริย์ทั้ง 4 ทิศ หรือในจารึกนครชุมใช้คำว่าจตุรทิศ

ของที่นำมาอภิเษกให้พระยาลิไท ขึ้นครองราชย์เป็นพระมหาธรรมราชา ระบุไว้ว่า มกุฏ พระขรรค์ชัยศรี และเศวตฉัตร สะท้อนให้เห็นว่าในของที่มีการนำมาแสดงถึงสถานะหรือความเป็นพระราชาของกษัตริย์ไทย เราพบหลักฐานอย่างน้อยในสมัยสุโขทัย สิ่งที่สำคัญคือพระมหาพิชัยมงกุฎ เป็นของสูงสุดเป็นเครื่องแสดงพระราชอำนาจสูงสุด เช่นเดียวกับพระขรรค์ชัยศรี ซึ่งเป็นเครื่องราชกกุธภัณฑ์สำคัญมาตั้งแต่โบราณ จารึกวัดศรีชุมพูดถึงพ่อขุนผาเมืองอภิเษกกับพระนางสิงขรมหาเทวี ระบุไว้ว่า ผีฟ้าเจ้าเมืองศรีโสธรปุระ พระเจ้าพระนครยโศธรปุระ คือกษัตริย์เขมรโบราณ พระราชทานพระราชธิดา พระขรรค์ชัยศรี และพระนามให้กับพ่อขุนผาเมือง เพื่อสถาปนาให้เป็นกมรเตงอัญผาเมือง

แนวคิดชุดนี้น่าจะได้รับอิทธิพลจากอินเดียผ่านมาทางเขมรโบราณและสืบทอดมาที่สุโขทัย จะเห็นร่องรอยว่าในความคิดของสังคมไทยตั้งแต่สมัยสุโขทัยนั้น เรามีความคิด ความรู้ ความเชื่อเกี่ยวกับเครื่องราชกกุธภัณฑ์ เครื่องที่แสดงสถานะความเป็นพระมหากษัตริย์อย่างชัดเจนเช่นเดียวกับในสมัยอยุธยา เมื่ออ่านในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับต่างๆ จะกล่าวถึงเมื่อมีพระราชพิธีบรมราชาภิเษก หรือพระราชพิธีราชาภิเษกจะมีระบุว่า พราหมณ์จะต้องเป็นผู้นำเครื่องราชาภิเษกอย่างเช่นเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์นำมาถวายเพื่อแสดงถึงพระองค์ได้เป็นพระมหากษัตริย์อย่างชัดเจน

หลักฐานสมัยรัตนโกสินทร์

หลักฐานสำคัญที่กล่าวถึงเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ก็สืบเนื่องไปจนถึงรัตนโกสินทร์ ในยุครัตนโกสินทร์ สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระองค์โปรดให้สร้างเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ขึ้นใหม่ทั้งหมด เพราะว่าของเดิมในสมัยอยุธยาสูญเสียไปหลังสมัยสงครามคราวเสียกรุงศรีอยุธยา คราวปี พ.ศ. 2310 เมื่อพระองค์ปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์ครั้งแรก เป็นการปราบดาภิเษกอย่างย่อ

หลังจากนั้นในปี พ.ศ. 2328 จึงมีการสร้างเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์และของใช้ต่างๆ เครื่องราชูปโภค และของที่จะใช้ประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมบูรณ์แล้ว จึงโปรดให้มีการบรมราชาภิเษกอีกครั้งในพ.ศ. 2328 ในครั้งนี้มีเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ครบชุด ได้แก่ พระมหาพิชัยมงกุฎ (เป็นของสำคัญที่สุด) ถัดมาคือ พระขรรค์ชัยศรี วาลวิชนี ธารพระกร และฉลองพระบาทเชิงงอน

ของชุดนี้เป็นของที่ครบชุดซึ่งปรากฏในสมัยรัชกาลที่ 1 โดยสมัยรัชกาลที่ 1 มีระบุไว้ตั้งแต่ต้นในตำราราชาภิเษกครั้งกรุงศรีอยุธยา บอกว่า เจ้าพระยาเพชรพิไชย เจ้าพระยาสุธรรมมนตรี พระราชสงคราม พระยาอุทัยมนตรี ได้มาประชุมกัน แล้วแต่งตำราบรมราชาภิเษกขึ้นใหม่ เพราะของเดิมสูญหาย

หลักฐานสำคัญอีกชิ้นคือหนังสือปัญจราชาภิเษกเป็นตำราที่สมเด็จพระพนรัตน์ วัดพระเชตุพน เรียบเรียงทูลเกล้าฯถวายรัชกาลที่ 1 ในตำรานี้กล่าวถึงเรื่องเครื่องสำหรับราชาภิเษกของพระมหากษัตริย์ ในตัวปัญจราชาภิเษกระบุไว้ชัดเจนว่า ลักษณะเครื่องสำหรับราชาภิเษกของสมเด็จพระมหากษัตริย์นั้น คือพระมหามงกุฏ พระภูษารัตกัมพล พระขรรค์ พระเศวตฉัตร เกือกทองประดับแก้วฉลองพระบาท สำหรับราชาภิเษกของสมเด็จพระมหากษัตริย์ สำหรับตำรานี้ไม่ได้ตรงกับที่ถือในปัจจุบันเสียทั้งหมด

พระขรรค์

ในสมัยรัชกาลที่ 1 ใบมีดของตัวพระขรรค์ ตามหลักฐานมีระบุว่า เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน) ผู้สำเร็จราชการในกัมพูชาในเวลานั้นได้พระขรรค์นี้มาและได้ถวายรัชกาลที่ 1 พระองค์โปรดเกล้าฯให้ทำด้ามและฝัก กลายเป็นเล่มที่เป็นพระขรรค์ชัยศรีในปัจจุบัน

พระเศวตฉัตร

พระเศวตฉัตรไม่ได้ถือว่าเป็นหนึ่งในเครื่องราชกกุธภัณฑ์ในแบบของไทยในยุครัตนโกสินทร์ แต่ตัวพระมหาเศวตฉัตรยังเป็นของสำคัญ แสดงให้เห็นสถานะของพระมหากษัตริย์ของไทย ในพิธีบรมราชาภิเษก ไม่ว่าจะเป็นพระที่นั่งอัฐทิศฯ ยังเป็น 7 ชั้น ในสมัยรัชกาลที่ 9 จะมีการถวายพระนพปฎลมหาเศวตฉัตร ที่พระที่นั่งอัฐทิศฯ จึงถือได้ว่าเป็นของสำคัญในการประกอบพระราชพิธีอยู่

ธารพระกรและฉลองพระบาทเชิงงอน

ถ้าดูตามคัมภีร์จะมีระบุว่าแต่ละอย่างคืออะไร ในตัวคัมภีร์กล่าวถึงว่า “เมื่อสมเด็จพระมหากษัตริย์ได้ราชาภิเษกเป็นเอกแก่ราชสมบัติแล้ว พึงได้อธิษฐานอาตมาพระองค์เอง ว่าเรานี้คือเขาพระสุเมรุราช (เขาพระสุเมรุตามความเชื่อว่าเป็นแกนหลักของจักรวาล) อันตั้งอยู่เป็นหลักพระธรณีในพื้นปฐพีดล และพระเนตรของเราข้างขวาคือพระสุริยอาทิตย์ พระเนตรของเราข้างซ้ายคือพระจันทร์อันส่องโลกให้เห็นแจ้งในพระทัยของสมเด็จพระมหากษัตริย์อันจะตัดทุกข์ภัยให้แจ้งในพระอุเบกขา…ที่ร้อนก็ให้ร้อน ที่เย็นก็ให้เย็นตามประเวณีเหมือนกัน และพระหัตถ์ทั้งซ้ายขวาและฝ่าพระบาทนั้นคือทวีปทั้ง 4 เศวตฉัตรทั้ง 6 ชั้นนั้นคือฉกามาพจรทั้ง 6”

ในตำราเดิมบอกว่าเศวตฉัตร 6 ชั้น แต่ตามธรรมเนียมของไทยเราเป็นเศวตฉัตร 9 ชั้น เพราะฉะนั้นจึงเรียกว่านพปฎลมหาเศวตฉัตร

ตามตำราบอกว่าองค์พระมหากษัตริย์คือเขาพระสุเมรุราช ซึ่งเขาพระสุเมรุคือแกนหลักจักรวาล ยอดของเขาพระสุเมรุคือวิมานของพระอินทร์ เพราะฉะนั้น พระมหาพิชัยมงกุฎตามคัมภีร์ถึงอธิบายบอกว่า “พระมหามงกุฎนั้นไซร้คือยอดวิมานพระอินทร์” คือจุดสูงสุดของเขาพระสุเมรุ หมายถึงวิมานของพระอินทร์

ตำราอธิบายต่อว่า “พระขรรค์คือพระปัญญาอันจะตัดมลทินถ้อยความไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินให้เห็นแจ้งทั่วทั้งโลกธาตุ” คำว่าพระขรรค์ หมายถึงพระปัญญานั้น สมัยโบราณตามคติพระพุทธศาสนา พระราชาสมัยก่อน แรกเริ่มเดิมทีตามคัมภีร์พุทธศาสนาถือว่า ที่มีกษัตริย์พระองค์แรกเกิดขึ้นมาเพราะเกิดการทะเลาะเบาะแว้งในบรรดาประชาชนทั้งหลาย จึงต้องสมมติเลือกบุคคลที่มีความรู้ความสามารถคนหนึ่งเพื่อเป็นพระมหากษัตริย์ตัดสินคดีความให้คนทั้งหลาย คดีความถูกใจแล้วเลยเปล่งคำว่า “ราชา” ซึ่งหมายถึง “ยินดี” ตรงนี้คือที่มาที่ไป

สำหรับเครื่องประดับนั้น ตำราว่าไว้ว่า “และเครื่องประดับผ้ารัตกัมพลนั้น คือเขาคันธมาทน์อันประดับเขาพระสุเมรุราช อันองค์พระมหากษัตริย์นั้น คือพระวินัยธรรม อันตรัสสั่งสอนแก่ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินให้ปรากฏเห็นแจ้งรุ่งเรืองไปทั้งชมพูทวีป”

ส่วนเกือกแก้วนั้น ระบุว่า “คือแผ่นดินอันเป็นที่รองรับเขาพระสุเมรุราช และเป็นที่อาศัยแก่อาณาประชาราษฎรทั้งหลายทั่วแว่นแคว้นขอบขัณฑเสมาและจะฦาชาปรากฏด้วยพระยศพระเดชของสมเด็จพระมหากษัตริย์เจ้านั้นแล”

โดยสรุปแล้ว พระมหาพิชัยมงกุฎ หมายถึงยอดวิมานพระอินทร์ พระขรรค์คือพระปัญญา ผ้ารัตกัมพลคือเขาคันธมาทน์ องค์พระมหากษัตริย์คือเขาพระสุเมรุ ฉลองพระบาทเทียบได้กับผืนแผ่นดินซึ่งรองรับเขาพระสุเมรุอยู่ เป็นระบบสัญลักษณที่สะท้อนให้เห็นถึงเหตุผลว่าทำไมต้องมีเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์

ในเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ทั้งหมด พราหมณ์มีหน้าที่นำมาทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย แต่ว่าที่จะทรงรับไปสวมเป็นการส่วนพระองค์ ที่พราหมณ์เป็นผู้ที่สอดทรงให้ถวายก็มีแต่ฉลองพระบาทเชิงงอนเท่านั้น เพราะฉะนั้น ในเรื่องเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์เป็นเรื่องสำคัญ เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความเป็นพระมหากษัตริย์ของไทยตั้งแต่โบราณมาจนถึงปัจจุบัน

เกร็ดเพิ่มเติม

สำหรับฝ่ายในหรือนางพระกำนัลที่มาถือเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ และเครื่องราชูปโภค ถ้าลองดูเอกสารจะเห็นว่ามีมาตั้งแต่ยุครัชกาลที่ 6 แล้วก็สมัยรัชกาลที่ 7 ในรัชกาลที่ 9 ก็มีลักษณะแบบนั้นอยู่

สำหรับการสร้างใหม่ในยุครัชกาลที่ 1 เชื่อว่าสร้างได้ใกล้เคียงของเดิม เพราะบรรดาขุนนาง หรือแม้แต่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ในยุคที่มีการบรมราชาภิเษกครั้งสุดท้ายในช่วงสมัยอยุธยาคือจัด 2 ครั้งในปีเดียวกัน คือบรมราชาภิเษกของพระเจ้าอุทุมพร กับพระเจ้าอยู่หัวเอกทัศน์ ทั้ง 2 พระองค์ ในเวลานั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชและขุนนางทั้งหลายที่มีอายุต่อมาจนถึงรัชกาลที่ 1 เคยรับราชการในตำแหน่งต่างๆ ถึงยังรู้อยู่ว่าตัวพระราชพิธีนั้นทำอย่างไร แต่ตัวตำราของเดิมเชื่อว่าอาจสูญหายไปจึงต้องมีการบอกว่า “ให้เจ้าพระยาเพชรพิไชย เจ้าพระยาสุธรรมมนตรี พระราชสงคราม พระอุทัยมนตรี นั่งพร้อมกันแต่งกฎหมายซึ่งทำการพระราชพิธีราชาภิเษกครั้งในหลวงวัดประดู่ไว้สำหรับหอหลวงฉบับหนึ่ง”

แสดงว่าอาศัยขุนนางซึ่งเคยได้ร่วมพิธีบรมราชาภิเษกในสมัยก่อน ซึ่งในที่นี้คือชัดเจนว่าสมัยในหลวงวัดประดู่ หรือพระเจ้าอุทุมพร บุคคลที่ทันในยุคนั้นมาเป็นผู้ที่บอกว่าในยุคนั้นทำอะไรบ้าง มีของอะไรบ้างให้มาช่วยกันเรียบเรียงเป็นตำราสำหรับหอหลวงซึ่งถือว่ากลายมาเป็นที่มาของตำราบรมราชาภิเษกในสมัยของรัตนโกสินทร์

ติดตาม Podcast โดย ศิลปวัฒนธรรม ที่

Podbean
Soundcloud
YouTube