รัชกาลที่ 4 รับสั่งทำ “เหรียญกระษาปณ์” รับมือการค้ากับต่างชาติ

ทูตต่างประเทศ
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้เซอร์จอห์น เบาริ่ง อัครราชทูตอังกฤษ เข้าเฝ้า (ภาพจิตรกรรมเทิดพระเกียรติกษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ วาดโดย นคร หุราพันธ์ ปัจจุบันแขวนอยู่ภายในอาคารรัฐสภา)

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ครองราชย์ พ.ศ. 2394-2411) ถือเป็นช่วงเวลาที่    ประเทศสยามมีการปรับตัวและพัฒนาเทคโนโลยีให้มีความเจริญก้าวหน้าทันสมัยในทุกๆ ด้าน ทั้งนี้ก็เพื่อดำรงไว้ซึ่งเอกราชและอธิปไตยของชาติท่ามกลางกระแสธารลัทธิจักรวรรดินิยมชาติตะวันตก ซึ่งกำลังแผ่ขยายอิทธิพลทางการเมือง การทหาร และการค้าเข้ามาสู่เบื้องบูรพาทิศ

ด้วยพระปรีชาสามารถและพระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในการดำเนินนโยบายทางการเมืองด้วยการส่งคณะทูตเดินทางไปเจริญพระราชไมตรีกับประเทศมหาอำนาจตะวันตก และยินยอมเปิดเสรีทางการค้ากับนานาอารยประเทศ สินค้าที่ทางการสยามเคยผูกขาดมาแต่เดิมนั้น ราษฎรและพ่อค้าชาวต่างชาติต่างก็สามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนกันได้อย่างเสรี ก่อให้เกิดการพัฒนาระบบเศรษฐกิจอย่างขนานใหญ่ ยังผลให้รัฐบาลสยามต้องดำเนินการปรับปรุงระบบการผลิตเงินตราใหม่ทั้งหมด

Advertisement

สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น เงินตราที่ใช้ซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าในท้องตลาดยังคงเป็นเงินพดด้วงและเบี้ยหอยเหมือนอย่างเมื่อครั้งสมัยกรุงสุโขทัย แต่หลังจากรัฐบาลสยามได้เปิดเสรีทางการค้ากับนานาอารยประเทศแล้ว การติดต่อค้าขายกับพ่อค้าชาวต่างชาติก็ขยายตัวเจริญเติบโตรุดหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้มีการจับจ่ายใช้สอยเงินตราในปริมาณที่สูงขึ้นตามลำดับ

แต่เนื่องจากเงินพดด้วงที่เป็นเงินตรามูลค่าสูงยังคงมีกรรมวิธีการผลิตที่ต้องใช้แรงงานคนเป็นหลัก ทำให้ไม่สามารถผลิตได้เพียงพอต่อความต้องการของพ่อค้าชาวต่างชาติ ยังผลให้เกิดสภาวะขาดแคลนเงินตราขึ้นในประเทศสยาม จึงมีผู้คิดปลอมแปลงเงินพดด้วงนำออกใช้ปะปนอยู่ในท้องตลาดจำนวนมาก เนื่องจากมีกรรมวิธีการผลิตที่ไม่ซับซ้อนและสามารถทำได้ด้วยเครื่องมือง่ายๆ ซึ่งสร้างความเดือดร้อนให้แก่ราษฎรและพ่อค้าชาวต่างชาติเป็นอย่างมาก

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริในการแก้ปัญหาวิกฤตการณ์เงินตราขาดแคลนในครั้งนี้ ด้วยการโปรดเกล้าฯ ให้จัดพิมพ์ “เงินกระดาษ” นำออกใช้หมุนเวียนในระบบเงินตราของประเทศสยามเป็นครั้งแรกใน พ.ศ. 2396 เรียกว่า “หมาย” หรือ “หมายแทนเงิน” โดยมีพระราชประสงค์ให้ราษฎรใช้หมายแทนการใช้เงินพดด้วง แต่กลับไม่เป็นที่นิยมในหมู่ราษฎร ผู้ที่มีหมายในครอบครองมักรีบนำไปขึ้นเงินที่พระคลังมหาสมบัติในชั่วระยะเวลาเพียงไม่นานนัก เนื่องจากราษฎรยังไม่คุ้นเคยและไม่แลเห็นประโยชน์อันใดในการใช้เงินกระดาษแทนเงินพดด้วงที่เป็นเงินตราหลักของประเทศสยามมาแต่กาลก่อน

ครั้นสมเด็จพระราชินีนาถวิคตอเรีย (Queen Victoria ครองราชย์ พ.ศ. 2380-2444) แห่งสหราชอาณาจักร ทรงส่งเซอร์จอห์น เบาว์ริง (Sir John Bowring) อัครราชทูตอังกฤษผู้มีอำนาจเต็มประจำประเทศจีน และข้าหลวงใหญ่ประจำเมืองฮ่องกง เป็นอัครราชทูตพิเศษเดินทางเข้ามาขอเจรจาทำสนธิสัญญาทางพระราชไมตรีและการค้ากับรัฐบาลสยามจนเป็นผลสำเร็จ เมื่อวันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2398 อันเป็นมูลเหตุสำคัญทำให้ประเทศต่างๆ ในทวีปยุโรปและอเมริกาต่างก็เร่งจัดส่งคณะทูตเดินทางเข้ามาขอทำสนธิสัญญาทางการค้ากับรัฐบาลสยามตามลำดับ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส โปรตุเกส เดนมาร์ก ฮอลันดา และปรัสเซีย (เยอรมนี)

ในสนธิสัญญาเบาว์ริงได้ตกลงกำหนดอัตราภาษีสินค้าไว้ต่ำมาก และยังให้มีการจัดเก็บภาษีแค่เพียง ครั้งเดียวเท่านั้น ทั้งนี้รัฐบาลสยามจะต้องอนุญาตให้พ่อค้าชาวต่างชาติสามารถซื้อสินค้าได้โดยตรงจากราษฎร โดยไม่ต้องผ่านพระคลังสินค้าเหมือนอย่างแต่ก่อน ส่งผลให้มีเรือสินค้าต่างชาติเดินทางเข้ามาค้าขายในกรุงเทพฯ จากเดิมเพียงปีละ 12 ลำ เพิ่มขึ้นเป็นปีละ 200 ลำเลยทีเดียว

บรรดาพ่อค้าชาวต่างชาติได้นำเอาเงินเหรียญของประเทศต่างๆ ที่เคยใช้ในเมืองจีนเข้ามาซื้อขายสินค้าในประเทศสยามเป็นจำนวนมหาศาล ส่วนใหญ่เป็นเหรียญเม็กซิโก (เหรียญนก) ที่เหลือเป็นเหรียญเปรู เหรียญวิลันดา เหรียญรูเปียอินเดีย เหรียญญี่ปุ่น และเหรียญญวนมินมาง ทั้งหมดรวมเรียกว่า “เงินเหรียญนอก”

เหรียญเงินและเหรียญทองคำตอกตราของประเทศอังกฤษในรัชสมัยพระเจ้าชาร์ลส์ พระองค์ที่ 1

แต่ราษฎรชาวสยามกลับไม่ยินยอมรับเงินเหรียญนอกเหล่านี้ เนื่องจากไม่คุ้นเคยและไม่เชื่อถือในมูลค่าของเงินเหรียญนอกที่มีอยู่มากมายหลายชนิดในท้องตลาด รวมทั้งไม่แน่ใจในความบริสุทธิ์ของเนื้อโลหะเงินและน้ำหนักของเหรียญ ทำให้พ่อค้าชาวอเมริกัน อังกฤษ และฝรั่งเศส ที่เข้ามาตั้งร้านค้าอยู่ในกรุงเทพฯ จำต้องช่วยรับเป็นธุระในการนำเงินเหรียญนอกไปไหว้วานให้ช่างหลวงในพระคลังมหาสมบัติหลอมทำเป็นเงินพดด้วงออกมาให้ได้ใช้จ่ายเป็นจำนวนสูงถึง 300,000 เหรียญเลยทีเดียว

ครั้นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทราบเรื่อง ก็โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพนักงานหลอมเงินพดด้วงโดยไม่คิดผลกำไร เพียงแต่หักเงินไว้เป็นค่าถ่าน ค่าไล่เอาทองแดงออก และค่าสูญเพลิง  ในอัตราแค่เพียงชั่งละตำลึงสลึงเท่านั้น

แต่ช่างหลวงสามารถทำเงินพดด้วงได้สูงสุดเพียงวันละ 2,400 บาท เนื่องจากช่างเหล่านี้มีน้อยตัวกอปรกับไม่มีเครื่องจักรคอยช่วยทุนแรงในการผลิตเงินพดด้วงแต่อย่างใด จึงจำเป็นต้องทำด้วยมือในทุกขั้นตอน โดยพระคลังมหาสมบัติสามารถหลอมเงินเหรียญนอกสำหรับนำไปทำเป็นเงินพดด้วงทั้งหมดได้เพียง 268,827 เหรียญ และปรากฏว่ามีเงินเหรียญนอกที่พวกพ่อค้าชาวต่างชาตินำมาฝากให้ช่างหลวงหลอมทำเป็นเงินพดด้วงตกค้างอยู่ในท้องพระคลังตามบัญชีเป็นจำนวนสูงถึง 3,000,00 เหรียญเศษ

ด้วยเหตุที่รัฐบาลสยามผลิตเงินพดด้วงได้ล่าช้า ทำให้มีจำนวนไม่เพียงพอต่อความต้องการของพ่อค้าชาวต่างชาติ ส่งผลให้เงินพดด้วงในท้องตลาดเกิดขาดแคลนอย่างหนัก อันเป็นสาเหตุสำคัญทำให้การค้าขายต้องหยุดชะงักไปโดยปริยาย รัฐบาลสยามต้องสูญเสียรายได้ไปจำนวนมหาศาล

มิสเตอร์ชาร์ลส์ เบลล์ (Charles Bell) ผู้ช่วยกงสุลอังกฤษประจำกรุงเทพฯ ซึ่งรักษาการแทนกงสุลอังกฤษอยู่ในขณะนั้น ก็วิตกกังวลว่าพ่อค้าชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาค้าขายในประเทศสยามจะสูญเสียผลประโยชน์ จึงทำหนังสือนำขึ้นกราบบังคมทูลขอให้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราชานุญาตให้ราษฎรยินยอมรับเงินเหรียญนอก ในกรณีที่ต้องชำระหนี้เป็นเงินราคาตั้งแต่ 10 ชั่งขึ้นไป หากราคาต่ำกว่า 10 ชั่ง ก็ให้ชำระเป็นเงินพดด้วงตามเดิม ทั้งนี้เพื่ออำนวยความสะดวกแก่พ่อค้าชาวต่างชาติที่เข้ามาค้าขายในกรุงเทพฯ โดยกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนเงินเหรียญนอก (ชนิดหนัก 7 สลึง) จำนวน 100 เหรียญ เท่ากับเงินพดด้วง 2 ชั่ง 1 ตำลึงครึ่ง

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นว่า การที่เงินตราต่างประเทศหลั่งไหลเข้ามาในประเทศสยามย่อมเป็นคุณประโยชน์ต่อบ้านเมือง ยังผลให้ราษฎรมีทรัพย์สินเงินทองมากยิ่งขึ้น จึงโปรดเกล้าฯ ประกาศให้ราษฎรใช้เงินเหรียญนอกเป็นเงินตราใช้จ่ายภายในประเทศได้เช่นเดียวกับเงินพดด้วง เมื่อ พ.ศ. 2399 ในอัตราแลกเปลี่ยน 3 เหรียญ (ชนิดหนัก 7 สลึง) ต่อ 5 บาท

เหรียญนอกตอกตราพระแสงจักรและตราพระมหามงกุฎ ราคา8 เรียล

หากมีราษฎรคนใดสงสัยไม่เชื่อถือในความบริสุทธิ์ของเนื้อเงิน ก็นำเงินเหรียญนอกมาให้เจ้าพนักงาน   พระคลังมหาสมบัติทำการตรวจสอบรับรอง พร้อมกับตีประทับตราประจำแผ่นดินและตราประจำรัชกาล คือ  ตราพระแสงจักรและตราพระมหามงกุฎลงบนเงินเหรียญนอกนั้นๆ เพื่อเป็นเครื่องหมายแสดงว่าเป็นเงินเนื้อดีมีค่าตามที่ประกาศไว้ และสามารถนำไปใช้จ่ายในท้องตลาดได้เช่นเดียวกับเงินตราสยาม แต่ปรากฏว่า ราษฎรยังคงไม่พอใจที่จะรับเงินเหรียญนอกอยู่ดี จึงก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบการค้าของประเทศสยามเป็นอย่างมาก

เหรียญมังกรของพระเจ้าเวียดนามมินมาง (จักรพรรดิหมินหมาง)

ในขณะเดียวกัน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงทราบข่าวว่า ก่อนหน้ารัชกาลพระเจ้าชาร์ลส์ พระองค์ที่ 1 (King Charles I ครองราชย์ พ.ศ. 2168-2192) ประเทศอังกฤษก็เคยผลิตเงินเหรียญด้วยมือ (Hand Hammering Method) จึงทรงมีพระราชดำริให้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบเงินตราสยามจากเงินพดด้วงที่มีสัณฐานกลมคล้ายลูกกระสุนปืนมาเป็นเงินเหรียญสัณฐานกลมแบนตามแบบอย่างสากล ด้วยเพราะพระองค์ทรงคิดอายเจ้าเวียดนามมินมาง (จักรพรรดิหมินหมาง ครองราชย์ พ.ศ. 2363-2384) ที่ทรงคิดทำเงินเหรียญมังกร หรือแม้แต่สมเด็จพระหริรักษ์รามมหาอิศราธิบดี (นักองค์ด้วง ครองราชย์ พ.ศ. 2390-2403) ก็ยังทรงคิดทำเงินเหรียญพญาหงส์ออกใช้ในกรุงกัมพูชา แม้จะเป็นแต่เพียงเมืองประเทศราชขึ้นแก่ราชสำนักสยามก็ตาม และที่สำคัญยังเป็นการกัน “เงินแดง” (หมายถึงเงินพดด้วงปลอมทำด้วยทองแดงชุบเงิน) ได้เป็นอย่างดี

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯ ให้ช่างหลวงทดลองทำเหรียญกระษาปณ์ตอกตราด้วยมือแบบง่ายๆ เพื่อหารูปแบบมาตรฐาน ด้วยการหลอมโลหะเงินให้ได้ตามน้ำหนักมาตรฐานสากล (เนื้อเงิน 90 ส่วน : เนื้อทองแดง 10 ส่วน) ก่อนใช้ค้อนตีก้อนโลหะเงินให้แผ่ออกเป็นแผ่นแบนเรียบ แล้วตัดออกเป็นรูปวงกลมให้ได้ตามขนาดและน้ำหนักเทียบเท่าเงินเหรียญนอกของต่างประเทศ และนำเอาแผ่นเงินที่ตัดขึ้นรูปมาตอกตราขึ้นลวดลายหน้าเหรียญด้วยค้อนอีกทีหนึ่ง โดยเหรียญกระษาปณ์ทำมือรุ่นแรกของกรุงรัตนโกสินทร์แบ่งออกเป็น 2 แบบ ดังนี้

เหรียญเงินตอกตราพระแสงจักร พระมหามงกุฎ พระเต้า ราคาสลึง

แบบแรก “เหรียญตอกตราพระแสงจักร พระมหามงกุฎ พระเต้า” เนื้อทองคำและเนื้อเงิน ด้านหน้าเหรียญตอกด้วยแม่ตราที่ใช้ตีประทับลงบนเงินพดด้วง เบื้องบนตีตราพระแสงจักร 1 ตรา ถัดลงมาเบื้องซ้ายและเบื้องขวาตีตราพระเต้าข้างละ 1 ตรา เบื้องล่างตีตราพระมหามงกุฎ 1 ตรา รวมทั้งสิ้น 4 ตรา ด้านหลังของเหรียญปล่อยเรียบไม่มีลวดลาย โดยกำหนดให้เหรียญทองคำมี 1 ชนิดราคา คือ กึ่งเฟื้อง ขนาดน้ำหนัก 1 กรัม  เส้นผ่าศูนย์กลางยาว 12.5 มิลลิเมตร ขอบเหรียญทั้งด้านหน้าและด้านหลังทำเป็นลายเกลียวเชือก ส่วนเหรียญเงินมี 2 ชนิดราคา คือ สลึง ขนาดน้ำหนักประมาณ 3.70-3.79 กรัม เส้นผ่าศูนย์กลางยาว 16 มิลลิเมตร และเฟื้อง ขนาดน้ำหนักประมาณ 1.80-1.99 กรัม เส้นผ่าศูนย์กลางยาวประมาณ 12.50-13 มิลลิเมตร ขอบเหรียญเรียบไม่มีลายเกลียวเชือกเหมือนอย่างเหรียญทองคำ

แบบที่สอง “เหรียญกรุงเทพตอกตราพระมหามงกุฎ” เนื้อทองคำและเนื้อเงิน นำเอาแผ่นโลหะเงินและทองคำที่ตัดขึ้นรูปเป็นวงกลมมาตอกขึ้นลายตราด้วยค้อน โดยชุดตอกตราจะทำจากเหล็กกล้าจำนวน 2 ชิ้น แท่งหนึ่งวางอยู่บนหมุดหินที่ยึดไว้อย่างแน่นหนา ส่วนอีกแท่งหนึ่งเป็นทอยตอกที่แกะสลักลายตราเหรียญตามที่ออกแบบไว้ ด้านหน้าเหรียญตีตราพระมหามงกุฎ ขนาบข้างด้วยลายเถาวัลย์และช่อดอกไม้เป็นเปลว ล้อมรอบด้วยจุดไข่ปลา ด้านหลังเหรียญตีตราคำว่า “กรุงเทพ” ล้อมรอบด้วยจุดไข่ปลาเช่นเดียวกับด้านหน้า ขอบเหรียญเรียบ ไม่มีฟันเฟือง โดยกำหนดให้เหรียญทองคำมี 2 ชนิดราคา คือ สลึง ขนาดน้ำหนัก 3.80 กรัม เส้นผ่าศูนย์กลางยาว 20 มิลลิเมตร และเฟื้อง ขนาดน้ำหนักประมาณ 1.78-1.80 กรัม เส้นผ่าศูนย์กลางยาว 15 มิลลิเมตร ส่วนเหรียญเงินมี 2 ชนิดราคา คือ สลึง ขนาดน้ำหนัก 3.80 กรัม เส้นผ่าศูนย์กลางยาว 20 มิลลิเมตร และเฟื้อง ขนาดน้ำหนักประมาณ 1.85-2 กรัม เส้นผ่าศูนย์กลางยาว 15 มิลลิเมตร สันนิษฐานว่า ส่วนหนึ่งได้รับอิทธิพลการออกแบบมาจากเหรียญทองแดงเมืองไท ตราช้าง และตราดอกบัว ซึ่งรัฐบาลสยามได้สั่งผลิตเป็นตัวอย่างใน  ช่วงปลายรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อ พ.ศ. 2378

เหรียญเงินกรุงเทพฯตอกตราพระมหามงกุฎ ราคาเฟื้อง พ.ศ. 2399 เปรียบเทียบกับตัวอย่างเหรียญทองแดงเมืองไท ตราดอกบัว และตราช้าง จ.ศ. 1197 (พ.ศ. 2378)

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศใช้เหรียญตอกตราพระแสงจักร พระมหามงกุฎ พระเต้า และเหรียญกรุงเทพตอกตราพระมหามงกุฎ แทนเงินพดด้วงใน พ.ศ. 2399

แต่ด้วยเหตุที่ช่างหลวงผลิตเหรียญตอกตราพระแสงจักร พระมหามงกุฎ พระเต้า และเหรียญกรุงเทพ   ตอกตราพระมหามงกุฎ ด้วยมือในทุกขั้นตอนเช่นเดียวกับเงินพดด้วง จึงผลิตได้เพียงจำนวนน้อย และตัวเหรียญก็ทำได้ไม่ค่อยเรียบร้อยเหมือนอย่างเงินเหรียญนอก จึงไม่เป็นที่นิยมในหมู่ราษฎรอีกเช่นกัน กอปรกับคณะทูตสยามได้นำเอาเครื่องจักรผลิตเหรียญกระษาปณ์ขนาดเล็กที่สมเด็จพระราชินีนาถวิคตอเรียทรงพระราชทานเป็นเครื่องราชบรรณาการแด่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเข้ามาถึงกรุงเทพฯ ใน พ.ศ. 2400 จึงทำการทดลองผลิตเงินเหรียญบาทด้วยเครื่องจักรออกใช้เป็นครั้งแรกในประเทศสยาม ยังผลให้การผลิตเหรียญกระษาปณ์แบบตอกตราเป็นอันต้องยุติลงไปโดยปริยาย

ภายหลังรัฐบาลสยามได้ประกาศให้เลิกใช้เหรียญเงินตอกตราพระแสงจักร พระมหามงกุฎ พระเต้า ราคาเฟื้อง เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2452 และราคาสลึง เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2456 ส่วนเหรียญกรุงเทพตอกตราพระมหามงกุฎประกาศเลิกใช้เมื่อใดนั้นไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด สิ้นสุดยุคสมัยของการใช้เหรียญกระษาปณ์ทำมือแต่เพียงเท่านี้