ที่มา | ศิลปวัฒนธรรม ฉบับสิงหาคม 2547 |
---|---|
ผู้เขียน | พันโทสุจิตร ตุลยานนท์ ชมรมพิทักษ์ส่งเสริมภาษาและวัฒนธรรมไทย (พภว.) |
เผยแพร่ |
สำรวจ “สตรี” ที่ได้รับ “พระราชทานเกียรติยศ” เป็นพิเศษ ในสมัยรัชกาลที่ 1-8
เมื่อ หม่อมหลวงบัว (สนิทวงศ์) กิติยากร ป.จ., ม.ป.ช., ม.ว.ม., ภ.ป.ร. ๑ พระชนนีในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้กราบถวายบังคมลาสิ้นชีพในวันที่ 19 กันยายน 2542 นั้น ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ใช้คำว่า ถึงแก่พิราลัย เสมอด้วยเจ้าประเทศราช และสมเด็จเจ้าพระยา พระราชทานโกศกุดั่นน้อย ประกอบศพเป็นเกียรติยศ และประดิษฐานบำเพ็ญกุศล ณ ศาลาสหทัยสมาคม ในพระบรมมหาราชวัง
เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้นึกถึง สตรีที่เคยได้รับพระราชทานพระเกียรติยศเป็นพิเศษในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ดังนี้
รัชกาลที่ 1
ในสมัยรัชกาลที่ 1 มิได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนา ท่านผู้หญิงนาก และญาติวงศ์ของท่านผู้หญิงให้มีอิสริยศักดิ์เป็นพิเศษแต่ประการใด พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระบรมราชาธิบายไว้ว่า
“สมเด็จพระรูปสิริโสภาค (พระนามเดิมว่า สั้น พระชนนีในสมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี-ส.) ทรงผนวชเป็นรูปชีอยู่ก่อน ถึงรัชกาลที่ ๑ ก็เป็นแต่เสด็จเข้ามาอยู่ที่ตำหนักสมเด็จพระอมรินทรอย่างเงียบๆ จนตลอดพระชนมายุ แต่เมื่อสิ้นพระชนม์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ พระราชทานโกศทรงพระศพ สมเด็จพระอมรินทรทรงยินดีถึงออกพระโอษฐ์ว่า “แม่ข้าเป็นเจ้า” ตรัสเล่าดังนี้” (สาส์นสมเด็จ เล่ม ๑๒. โรงพิมพ์คุรุสภา, พ.ศ. ๒๕๐๕. หน้า ๒๕๐,)
ต่อมาในรัชกาลที่ 4 จึงได้ทรงสถาปนาพระอัฐิขึ้นเป็น สมเด็จพระรูปสิริโสภาคมหานากนารีรัตน
รัชกาลที่ 2
ในรัชกาลนี้ได้ทรงสถาปนาสมเด็จพระบรมราชชนนี ขึ้นเป็น กรมพระ แต่โปรดเกล้าฯ ให้กล่าวขานพระนามว่า กรมสมเด็จพระอมรินทรามาตย เทียบด้วยตำแหน่ง กรมพระเทพามาตย ในสมัยกรุงศรีอยุธยา
ส่วนบุคคลอื่นๆ นั้นเป็นแต่เพียงคำที่ผู้คนยกย่องกันขึ้นเอง คือ
1. ท่านผู้หญิงนวล ภรรยาเจ้าพระยามหาเสนา (บุนนาค ต้นสกุล บุนนาค) ซึ่งยังมีชีวิตอยู่ในเวลานั้น และเป็นพระน้องนางในสมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี ในรัชกาลนี้ทรงยกย่องพระญาติพี่น้องชั้นลุงป้าน้าอาในสมเด็จพระอมรินทราบรมราชินีว่า เป็นราชินิกูล คือพระญาติทางฝ่ายพระมเหสี คนทั้งหลายย่อมต้องนับถือว่าทรงศักดิ์สูงกว่าท่านผู้หญิงภรรยาข้าราชการอื่นๆ คงจะเป็นเพราะเหตุนี้ จึงเรียกกันว่า “เจ้าคุณโต” แทนที่เคยเรียกกันว่า “คุณหญิง” หรือ “คุณ” มาแต่ก่อน
ท่านผู้หญิงนวล หรือ เจ้าคุณโต มีธิดากับเจ้าพระยามหาเสนา (บุนนาค) 3 คน คือ
ชื่อ นุ่น เรียกกันว่า เจ้าคุณวังหลวง
ชื่อ คุ้ม เรียกกันว่า เจ้าคุณวังหน้า
ชื่อ ต่าย เรียกกันว่า เจ้าคุณปราสาท เพราะอยู่ที่พระมหาปราสาทกับสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงเทพยวดี พระราชธิดาในรัชกาลที่ 1
2. คุณหญิงแก้ว พระน้องนางคนรองถัดมา ซึ่งเป็นภรรยาพระยาสมุทรสงคราม (ศร) มีนิวาสสถานอยู่ที่ อัมพวา บางช้าง เรียกกันว่า เจ้าคุณบางช้าง เป็นต้นสกุล ณ บางช้าง
ส่วนผู้ที่มิได้เป็นราชินิกูล แต่ผู้คนทั้งหลายเรียกกันว่า “เจ้าคุณ” มีอยู่ 3 คน คือ
1. เจ้าจอมมารดาตานี ในรัชกาลที่ 1 เป็นธิดาเจ้าพระยามหาเสนา (บุนนาค) อันเกิดด้วยภรรยาเดิม เรียกกันว่า “เจ้าคุณวัง” มีพระราชธิดา คือ
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจงกล
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าฉัตร กรมหมื่นสุรินทรรักษ ต้นราชสกุล ฉัตรกุล ณ อยุธยา
2. เจ้าจอมมารดาสี ในรัชกาลที่ 2 เป็นธิดาเจ้าพระยาศรีธรรมาธิราช (บุญรอด ต้นสกุล บุญยรัตพันธุ์) เรียกกันว่า “เจ้าคุณพี” มีพระราชธิดา คือ
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรจั่น
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุบผา
3. ท้าวศรีสัจจา (มิ) เรียกกันว่า “เจ้าคุณประตูดิน” ได้ว่าราชการสิทธิขาดต่างพระเนตรพระกรรณในรัชกาลที่ 2 ที่ทำงานของท่านอยู่ใกล้กับประตูดิน มีเกียรติคุณยิ่งกว่าท้าวนางอื่นๆ พวกชาววังยำเกรงท่านมาก ถึงกับเอาชื่อท่านมาใส่ไว้ใน บทเพลงเต่าเห่ สำหรับสอนเด็กๆ ให้รำละคร ว่า
“สาวน้อยๆ ค่อยเดินจร ไปเด็ดดอกแก้วเล่นเย็นๆ ที่เกยซึ่งเคยเห็น เป็นพวงเป็นพู่ดูน่าชม” และ “ว่าแล้วหาฟังไม่ จะไปเรียนเจ้าคุณประตูดิน”
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ทำรูปของท่านไว้ในคูหาใต้บันไดขึ้นพระที่นั่งบุษบกมาลาฝ่ายในที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท โดยมีโขลน ชื่อ บัว และ ดี หมอบรับใช้อยู่ข้างๆ อีกด้วย
รัชกาลที่ 3
ทรงสถาปนา เจ้าจอมมารดาเรียม ในรัชกาลที่ 2 พระบรมราชชนนี ขึ้นเป็น กรมสมเด็จพระศรีสุลาไลย
ในรัชกาลนี้มีคนเรียกเจ้าจอมมารดาของเจ้านายผู้ใหญ่ว่า “เจ้าคุณ” กันอย่างแพร่หลายอีก 2 คน น่าจะเป็นเพราะมีเชื้อสายราชินิกูล “บางช้าง” คือ
1. เจ้าจอมมารดาศิลา ในรัชกาลที่ 2 มีพระราชโอรสธิดา คือ
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวงษ
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพนมวัน กรมพระพิพิธโภคภูเบนทร ต้นราชสกุล พนมวัน ณ อยุธยา
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากุญชร กรมพระพิทักษเทเวศร ต้นราชสกุล กุญชร ณ อยุธยา
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าทินกร กรมหลวงภูวเนตรนรินทรฤทธิ ต้นราชสกุล ทินกร ณ อยุธยา
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอินทนิล
2. เจ้าจอมมารดาปรางใหญ่ ในรัชกาลที่ 2 ต่อมาเป็น ท้าววรจันทร์ มีพระราชโอรสธิดา คือ
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้า (หญิง) ประสูติได้ 3 วัน
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้านวม กรมหลวงวงศาธิราชสนิท ต้นราชสกุล สนิทวงศ์ ณ อยุธยา
รัชกาลที่ 4
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตั้งพระราชบัญญัติให้ศักดิ์ “เจ้าคุณ” เป็นยศผู้หญิงที่พระเจ้าแผ่นดินต้องทรงตั้ง เมื่อมีพระราชบัญญัติแล้ว การเรียกเจ้าคุณกันตามใจก็เสื่อมหายไปเองโดยมิต้องขัดใจใคร
ทรงตั้งธิดาสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยุรวงศ์ (ดิศ บุนนาค) เฉพาะที่เกิดแต่ท่านผู้หญิง เป็นเจ้าคุณ รวม 3 คน คือ
1. เจ้าคุณแข เรียกกันว่า เจ้าคุณตำหนักใหม่
2. เจ้าคุณปุก เรียกกันว่า เจ้าคุณกลาง
3. เจ้าคุณหรุ่น เรียกกันว่า เจ้าคุณน้อย
และทรงตั้งธิดาสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิไชยญาติ (ทัด บุนนาค) เฉพาะที่เกิดแต่ท่านผู้หญิง เป็นเจ้าคุณ รวม 3 คน คือ
1. เจ้าคุณนุ่ม เรียกกันว่า เจ้าคุณตำหนักเดิม
2. เจ้าคุณเป้า
3. เจ้าคุณคลี่
รัชกาลที่ 5
ในสมัยรัชกาลที่ 5 ทรงตั้งเจ้าจอมมารดา ให้เป็นเจ้าคุณจอมมารดา รวม 4 ท่าน คือ
เจ้าจอมมารดาในรัชกาลที่ 4 เป็นเจ้าคุณจอมมารดา คือ
1. เจ้าจอมมารดาเปี่ยม (สุจริตกุล) เป็น เจ้าคุณจอมมารดาเปี่ยม ในรัชกาลที่ 4
2. เจ้าจอมมารดาสำลี (บุนนาค) เป็น เจ้าคุณจอมมารดาสำลี ในรัชกาลที่ 4
เจ้าจอมมารดา ในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว 4 ท่าน คือ
3. เจ้าจอมมารดาเอม พระชนนีในกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ เป็น เจ้าคุณจอมมารดาเอม
เจ้าจอมมารดาแพ ในรัชกาลที่ 5 เป็น เจ้าคุณจอมมารดา 4 ท่าน คือ
4. เจ้าจอมมารดาแพ ในรัชกาลที่ 5 เป็น เจ้าคุณจอมมารดาแพ ในรัชกาลที่ 5
รัชกาลที่ 6
1. ทรงสถาปนาพระอัฐิเจ้าคุณจอมมารดาเปี่ยม ในรัชกาลที่ 4 ขึ้นเป็น สมเด็จพระปิยมาวดีศรีพัชรินทรมาตา
2. ทรงเปลี่ยนนาม เจ้าคุณจอมมารดาแพ ในรัชกาลที่ 5 เป็น เจ้าคุณพระประยุรวงศ์
สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงกล่าวว่า “ที่เติมคำ “จอมมารดา” เข้าด้วยนั้น น่าชมเป็นความคิดที่ดีนัก เพราะแต่ลำพังคำว่า “เจ้าคุณ” ใครๆ ก็เป็นได้ แต่คำว่า “จอมมารดา” ต้องเป็นพระสนมของพระเจ้าแผ่นดินและเป็นชนนีของพระเจ้าลูกเธอด้วย เพราะฉะนั้นที่มาเปลี่ยน เจ้าคุณจอมมารดา แพ เป็น เจ้าคุณพระประยุรวงศ์ ในรัชกาลที่ 6 ดูไม่แสดงศักดิ์สูงขึ้นกว่าเป็น เจ้าคุณจอมมารดา แพ เพราะความหมายแต่ว่า เป็นพระญาติเท่านั้น” (“ลายพระหัตถ์ฉบับลงวันที่ 14 มีนาคม 2480”, สาสน์สมเด็จ เล่ม 12. โรงพิมพ์คุรุสภา, พ.ศ. 2505. หน้า 254.)
อนึ่ง คำว่า เจ้าจอมมารดา และ เจ้าจอม นั้น จะใช้เฉพาะแต่สำหรับผู้ที่เป็นพระสนมของพระเจ้าแผ่นดิน และสมเด็จพระบวรราชเจ้าเท่านั้น นอกจากนั้นแล้วจะใช้คำว่า “หม่อม” ทั้งสิ้น
แต่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เรียก ขรัวยายเจ้าฟ้า (คือสามัญชนที่เป็นยายของเจ้าฟ้า) ซึ่งตามปกติแล้วจะมีฐานะเป็นเพียงหม่อม ว่า “เจ้าจอมมารดา” เป็นพิเศษอยู่เพียง 2 ท่านเท่านั้น คือ
1. หม่อมงิ้ว ในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ ชั้น 3 พระองค์เจ้าลักขณานุคุณ ผู้เป็นพระชนนีในสมเด็จพระนางโสมนัสวัฒนาวดี ว่า เจ้าจอมมารดางิ้ว
2. หม่อมจีน ในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ ชั้น 3 พระองค์เจ้าลดาวัลย์ กรมหมื่นภูมินทรภักดี ต้นราชสกุล ลดาวัลย์ ณ อยุธยา ผู้เป็นพระชนนีในหม่อมเจ้าบัว (อรรคชายาเธอ พนะองค์เจ้าอุบลรัตนนารีนาค กรมขุนอรรคกัลยา) หม่อมเจ้าปิ๋ว (พระอรรคชายาเธอ พระองค์เจ้าเสาวภาคยนารีรัตน) และ หม่อมเจ้าสาย (พระวิมาดาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมพระสุทธาสินีนาฏปิยมหาราชปดิวรัดา) ว่า เจ้าจอมมารดาจีน
เมื่อครั้งที่ เจ้าคุณจอมมารดาสำลี ในรัชกาลที่ 4 ซึ่งเป็นธิดาสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิไชยญาติ (ทัด บุนนาค) สิ้นชีพลงใน พ.ศ. 2443 ที่บ้านของสกุลบุนนาค ข้างวัดพิไชยญาติการาม ฝั่งธนบุรีนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เรียกว่า “ถึงแก่พิราลัย” เสมอด้วยเจ้าประเทศราช และสมเด็จเจ้าพระยา
โดยทรงยกเหตุว่า เป็นผู้มีบรรดาศักดิ์และเป็นพระญาติพระวงศ์เทียบชั้นทั้งราชสกุลและราชินิกูลแล้ว เจ้าคุณจอมมารดาสำลี ในรัชกาลที่ 4 ก็อยู่ในชั้นเดียวกันกับพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานโกศกุดั่นใหญ่และโปรดเกล้าฯ ให้นำศพเจ้าคุณจอมมารดาสำลี ในรัชกาลที่ 4 จากบ้านฝั่งธนบุรีมาตั้งที่หอธรรมสังเวช ในพระบรมมหาราชวัง (หอธรรมสังเวช หออุเทศทักษินา และหอนิเพทพิทยา แต่เดิมเป็นที่ประดิษฐานพระศพพระบรมวงศ์ฝ่ายใน ปัจจุบันใช้เป็นสถานที่สำหรับกิจการอื่น-ส.) ซึ่งมิเคยปฏิบัติกันมาก่อน เพราะถือกันว่า ผู้ที่จะสิ้นชีพในพระบรมมหาราชวังได้จะต้องเป็นเจ้านายเท่านั้น หากสามัญชนสิ้นชีพในพระบรมมหาราชวัง เมื่อนำศพออกไปแล้ว จะต้องทำพิธีกลบบัตรสุมเพลิงทุกครั้ง
ทั้งนี้โดยทรงพระราชดำริว่า เพื่อสะดวกแก่ พระนางเจ้าสุขุมาลมารศรี พระราชเทวี และ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสุทธาทิพยรัตน กรมหลวงศรีรัตนโกสินทร จะได้ไม่ต้องทรงลำบากเสด็จข้ามฟากไปทรงบำเพ็ญพระกุศลที่บ้านฝั่งธนบุรี
ขณะนั้น สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมขุนมไหสูรยสงขลา (จอมพล จอมพลเรือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ต้นราชสกุล บริพัตร ณ อยุธยา) ทรงสำเร็จวิชาทหารจากประเทศเยอรมัน และได้รับพระราชทานยศเป็น นายร้อยตรี แล้ว แต่ยังต้องทรงฝึกฝนวิชาชีพพิเศษเพิ่มเติมต่อไปอีก 1 ปี จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เสด็จกลับมาชั่วคราวเพื่อพระราชทานเพลิงศพขรัวยาย ณ พระเมรุท้องสนามหลวงที่สร้างขึ้นเป็นพิเศษสำหรับการนี้โดยเฉพาะ ในงานพระเมรุเจ้านายแทบทุกพระองค์ต้องทรงพระภูษาขาว เพราะในสมัยนั้นถ้าผู้ตายเป็นญาติผู้ใหญ่ ในงานเมรุลูกหลานทุกคนต้องแต่งขาวเพื่อเป็นการแสดงความเคารพ
อนึ่ง ในสมัยรัชกาลที่ 6 โปรดเกล้าฯ ให้กล่าวขานพระนามพระอัครมเหสีในรัชกาลก่อนว่า สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี และ สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี แทนคำว่า กรมสมเด็จพระอมรินทรามาตย กรมสมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย และ กรมสมเด็จพระเทพศิรินทรามาตย
รัชกาลที่ 8
เมื่อเจ้าคุณพระประยุรวงศ์สิ้นชีพลงในวันที่ 22 มีนาคม 2486 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เรียกว่า ถึงแก่พิราลัย และพระราชทานโกศกุดั่นน้อย ประกอบเกียรติยศศพเสมอด้วยสมเด็จเจ้าพระยา
ระเบียบสำนักพระราชวัง ว่าด้วยการศพ ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน โกศกุดั่นน้อย ตามปกติจะพระราชทานสำหรับ
1. พระบรมวงศ์ชั้นพระองค์เจ้า ที่เป็นพระราชโอรสธิดา มี ฉัตรโหมดทอง 5 ชั้น แขวนเหนือพระโกศ ปัจจุบันไม่มีพระราชวงศ์ชั้นนี้
2. สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช มี ฉัตรผ้าขาว 3 ชั้น แขวนเหนือพระโกศ
3. ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ที่ถึงแก่อสัญกรรมในขณะที่ดำรงตำแหน่ง
4. สามัญชนที่ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นโบราณมงคล นพรัตนราชวราภรณ์
อ่านเพิ่มเติม :
สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 14 มีนาคม 2562