เผยแพร่ |
---|
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหามงกุฎ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระสยามเทวมหามกุฏวิทยมหาราช รัชกาลที่ 4 ทรงพระราชนิพนธ์ “คาถาขอขมาลาพระสงฆ์” ก่อนเสด็จสวรรคตเพียงวันเดียว พระราชนิพนธ์นี้ทรงเป็นภาษามคธมีใจความขอขมาลาพระสงฆ์ ด้วยจิตสำนึกสุดท้าย ภาษาที่ทรงพระราชนิพนธ์ก็สะท้อนคุณค่าและพระปรีชาสามารถในด้านภาษา
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงใช้ชีวิตสมณเพศแบบบัณฑิตของพระองค์ถึง 27 ปี เมื่อทรงเป็นพระมหากษัตริย์จึงเป็นกษัตริย์องค์เดียวของไทยที่มีความรู้ภาษาบาลีแตกฉานขั้นสามารถพระราชนิพนธ์ผลงานเป็นจำนวนมาก
รศ.ดร. สุภาพรรณ ณ บางช้าง วิเคราะห์การใช้ภาษาบาลีของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า ทรงใช้ในลักษณะการสื่อสารทั่วไป ไม่ใช่ในลักษณะภาษาคัมภีร์เหมือนสมัยก่อนเพื่อสนองเป้าหมาย 3 ประการ คือ วิเคราะห์วิจารณ์ประวัติเหตุการณ์ทางพระพุทธศาสนา, บันทึกประกาศเรื่องเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาหรือเรื่องที่มุ่งหวังให้เกิดความเป็นสิริมงคล และติดต่อกับพระภิกษุสงฆ์ทั้งภายในและนอกประเทศ
ผลงานพระราชนิพนธ์ชิ้นสุดท้ายคือ “คาถาขอขมาพระสงฆ์” ทรงพระราชนิพนธ์เมื่อเย็นวันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2411 (วันพุธ เดือน 11 ขึ้น 14 ค่ำ) วันต่อมาพระองค์เสด็จสวรรคต บทความของดร.สุภาพรรณ อธิบายว่า พระราชนิพนธ์นี้ปรากฏในบันทึกของเจ้าพระยามหินทรศักดิธำรง ในเวลานั้นดำรงตำแหน่งพระบุรุษรัตนราชพัลลภ ถวายการรับใช้ใกล้ชิด
บันทึกของเจ้าพระยามหินทรศักดิธำรง บันทึกไว้ว่า
“เวลา 5 โมงเศษมีพระบรมราชโองการรับสั่งแก่พระยาบุรุษรัตนราชพัลลภว่า ให้ไปหาตาฟัก (พระศรีสุนทรโวหาร) เข้ามา ให้หาสมุดดินสอเข้ามาด้วย เมื่อจะเข้ารอคอยเวลาที่สบายจึงให้มาแล้วรับสั่งกับหลวงเดโชว่า หมอขาข้าจะธุระจะทำการ หมอช่วยทุกขเวทนาลมทีเสียดแทงให้ถอยลงสักหน่อยจะได้หรือมิได้ หลวงราโชรับว่าจะฉลองพระเดชพระคุณได้ด้วยเกล้าฯ หลวงราโชก็แก้ไขถวายงานพอพระวาโยที่เสียดแทงคลายลง พระยาบุรุษรัตนราชพัลลภจึงทูลฉลองว่า พระศรีสุทรโวหารเข้ามาเฝ้าทูลละอองแล้ว จึงรับสั่งพระศรีสุนทรโวหารเป็นภาษามคธยืดยาว เรื่องความอนาถปิณทิโกวาทจบลงแล้ว จึงรับสั่งพระศรีสุนทรโวหารว่า ที่ตรัสภาษามคธดังนี้ผิดเพี้ยนอย่างไรบ้าง”
พระศรีสุนทรโวหารกราบทูลพระกรุณาว่า ซึ่งทรงภาษามคธนี้จะได้ผิดเพี้ยนแต่สิ่งหนึ่งสิ่งใดหามิได้ เหมือนหนึ่งเหมือนไม่ทรงพระประชวรฉะนั้น จึงรับสั่งว่าพระอาการก็มาก ถึงเพียงนี้แล้วยังมีสติไม่ฟั่นเฟือนให้เอาสมุดดินสอมา จะให้เขียนคาถาลาพระ ทรงเป็นภาษามคธจนจบ
บทพระราชนิพนธ์ฉบับแปลความหมายมีอยู่ในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ของเจ้าพระยาทิพกรวงศ์ และในบันทึก “จดหมายเหตุเรื่องพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแรกทรงประชวรจนถึงเวลาสวรรคต” ของพระยามหินทรศักดิธำรง
ดร.สุภาพรรณ อธิบายว่า สำนวนแปลจากทั้งสองฉบับแตกต่างกันบ้าง ในบันทึกของพระยามหินทรศักดิธำรง บอกเกี่ยวกับคำแปลว่า “แต่คำแปลในคาถาที่ทรงลาพระแลขอขมาพระสงฆ์ประเดียงไปที่วัดราชประดิษฐ์” เข้าใจว่า ได้มีจัดทำคำแปลภาษาไทยไว้เมื่อครั้งนั้นแล้ว อาจให้พระศรีสุนทรโวหารเป็นผู้แปล หรือพระองค์เป็นผู้แปลเอง
คำแปลมีว่า
“เหมือนครั้งตัวฉันยังเป็นภิกษุอยู่ ฉันได้เจรจาคำนี้อยู่เนืองๆ ว่า เกิดจากครรภ์มารดาแล้วในวันพระมหาปวารณาคือ วันพฤหัสบดีเดือน 11 ขึ้น 15 ค่ำ ถ้าเมื่อเราจะตายหากว่าป่วยหนักลง พวกศิษย์นำไปถึงที่ประชุมสงฆ์ทำปวารณาในโรงอุโบสถยังประกอบด้วยกำลังเช่นนั้นไรเล่า เราถึงธรรมปวารณา สามจบแล้วตายเฉพาะที่หน้าพระสงฆ์ การที่ได้ทำนั้นเป็นการดี เป็นการสงเคราะห์ควรแก่เรา วาจาอย่างนี้ฉันได้พูดเป็นเนืองๆ เมื่อครั้งเป็นภิกษุ บัดนี้ฉันเป็นคฤหัสถ์จะทำอะไรได้อย่างที่ว่านั้น เพราะฉะนั้นจึงส่งเครื่องสักการบูชาเหล่านี้ทำให้เป็นของแทนตัวฉัน วันมหาปวารณาคือวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ วันนี้เป็นวันพฤหัสบดีเหมือนเมื่อวันฉันเกิด ก็ความเจ็บไข้ของตัวฉันเจริญทวีมากขึ้น ตัวฉันกลัวว่าจะต้องตายลงในวันนี้ ฉันขอลาพระสงฆ์ ฉันขออภิวาทไหว้ต่อพระผู้มีพระภาค พระอรหังสัมมนาสัมพุทโธเจ้า แม้นพระนิพพานแล้วนาน ฉันขอนมัสการพระธรรมของพระผู้มีพระภาคนั้น ขอนอบน้อมพระอริยสงฆ์ด้วยตัวฉันขอลาผู้ได้ถึงพระรัตนตรัยเป็นที่ระลึกแล้ว
‘โทษคือความล่วงเกิน ข้าพเจ้าเป็นคนพาลคนหลงไม่ฉลาดด้วยประการใด ตัวข้าพเจ้าคนไรเล่า ณ อาตมาภาพนี้เป็นผู้ประมาทแล้วอย่างนั้น ได้ทำกรรมเป็นอกุศลทั้งหลาย ขอพระสงฆ์จงรับโทษล่วงเกินของข้าพเจ้านั้นเป็นคนโทษล่วงเกินจริง เพื่อสังวรระวังตนต่อไปข้างหน้า’
บัดนี้ตัวฉันได้ทำการอธิษฐานการสังวรระวังในศีลห้าแล้ว ปลูกกรรมทำในใจอย่างนี้ ศึกษาอยู่ในขันธ์ทั้งหลายในอายตนะทั้งหลายภายในหกภายนอกหก ในวิญญาณทั้งหลายหก ในสัมผัสทั้งหลายหก ในเวทนาทั้งหลายหก ซึ่งเป็นไปในทวารทั้งหลายหก ของนั้นไม่มีในโลก ของไรเล่าเมื่อสัตว์เขาถือเอามั่นจะถึงไม่มีโทษ อนึ่งฤาบุรุษเขาถือเอามั่นของสิ่งไรเล่า ตัวฉันศึกษาความไม่ยึดหน่วงถือเอาสรรพสิ่งการทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตาไม่เที่ยง ธรรมทั้งหลายทั้งปวง เป็นอนัตตา ใช่ตัวใช่ตน ย่อมเป็นไปตามปัจจัย ของนั้นไม่ใช่ของเรา ส่วนนั้นใช่เราไม่เป็นเรา ส่วนนั้นไม่เป็นแก่นสาร ใช่ตัวใช่ตน ความตายใดๆ ของสัตว์ทั้งหลาย ความตายทั้งหลายไม่เป็นของอัศจรรย์เพราะความตายนั้นไม่เป็นอกุศลหนทางไป สัตว์ทั้งหลายทั้งหมดด้วยกัน ขอพระผู้เป็นเจ้าจงเป็นผู้ไม่ประมาทเถิด ฉันขอลาขอไหว้นมัสการ ข้อที่ได้เป็นความผิดพลั้งของตัวฉัน
ขอพระสงฆ์จงงดโทษเป็นความผิดของข้าพเจ้านี้เถิด ครั้นเมื่อความตายของข้าพเจ้าแม้นถึงความกระสับกระส่ายอยู่ จิตจะไม่เป็นกระสับกระส่าย ข้าพเจ้าศึกษาอยู่อย่างนี้ ทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้”
พระยามหินทรศักดิธำรง เล่าให้บันทึกว่า หลังจากทรงแต่งคาถาลาเสร็จแล้ว ทรงมีรับสั่งกับพระศรีสุนทรโวหารให้นำไปคัดลอกให้อ่านง่ายๆ ให้ไปสั่งมหาดเล็กให้จัดเครื่องนมัสการไปตั้งที่อุโบสถพระเชตุพนฯ ที่วัดราชประดิษฐ์ เมื่อพระสงฆ์จะกระทำวินัยกรรมปวารณาพระพรรษาในพระอุโบสถให้จุดธูปเทียนแล้วจึงอ่านคาถาพระท่ามกลางพระสงฆ์แทนพระองค์ วันต่อมาในวันที่ 1 ตุลาคม (วันพฤหัสบดี เดือน 11 ขึ้น 15 ค่ำ) พระองค์เสด็จสวรรคต
อ่านเพิ่มเติม: 1 ตุลาคม วันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ดร. สุภาพรรณ วิเคราะห์เนื้อความคาถาขอขมาลาพระสงฆ์โดยแบ่งเป็น 3 ประเด็นคือ
1. ในผลงานทรงระบุวันที่พระราชนิพนธ์ว่า “วันนี้เป็นวันพฤหัสบดี เหมือนเมื่อวันฉันเกิด” อย่างไรก็ตาม วันที่ทรงพระราชนิพนธ์นั้นเป็นวันพุธที่ 30 กันยายน และทรงสิ้นพระชนม์วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม ไม่ใช่ความสับสนของพระองค์หรือของผู้บันทึก น่าจะเป็นการตั้งพระทัยที่จะใส่ตามที่ทรงตระหนักว่า “ตัวฉันเกรงว่าจะต้องตายลงในวันนี้” โดย “วันนี้” เป็นวันที่ส่งคาถาขอขมานี้ไปถวายพระสงฆ์ด้วย
2. พระราชนิพนธ์ไม่ยาวนัก กระชับและสมบูรณ์ ส่วนที่ 1 เกริ่นนำเล่าเหตุผลที่มาของการเขียน ส่วนที่ 2 เป็นคำขอขมา อยู่ตอนกลางและปลาย และส่วนที่ 3 เล่าถึงความเจริญ วิเคราะห์ธรรม และภาวะความรู้ความเข้าใจในช่วงใกล้สิ้นพระชนม์
3. การเตรียมพระองค์ในช่วงที่ทรงรู้ว่าใกล้สิ้นพระชนม์ ส่วนนี้เป็นส่วนที่มีคุณค่ามาก จากที่เห็นได้ว่าพระองค์ทรงทุกข์ทรมานพระวรกาย กระสับกระส่ายตามแรงแห่งอาการโรคแต่ทรงยืนยันว่า จิตใจของพระองค์มิได้หวั่นไหวกระสับกระส่ายตาม ทรงตั้งเจตนาสังวรใจกายให้ดำรงมั่นในศีล 5 แล้วกระทำกรรมฐาน เฝ้าตามรู้พิจารณาธรรมชาติแห่งชีวิตของพระองค์เอง
ทรงเข้าใจชัดเจนว่า ภาวะชีวิตเป็นอนัตตา “ใช่ตัวใช่ตน ย่อมเป็นไปตามปัจจัย ของนั้นใช่ของเรา ส่วนนั้นใช่เรา ไม่เป็นเรา ส่วนนั้นไม่เป็นแก่นสาร ใช่ตัวใช่ตน” และ “ความตายใดๆ ของสัตว์ทั้งหลายไม่เป็นของอัศจรรย์”
ด้วยสิ่งที่น่าสนใจทั้ง 3 ประการ ทำให้รศ.ดร. สุภาพรรณ ณ บางช้าง มองว่า พระราชนิพนธ์นี้มีคุณค่ามาก โดยเฉพาะในฐานะพระมหากษัตริย์ในช่วงก่อนวันสิ้นพระชนม์ ซึ่งทำให้รับรู้ถึงภาวะและความเข้าใจของพระองค์ที่มีต่อความเป็นจริง การใช้เวลาในช่วงสุดท้ายของชีวิตพัฒนาจิตให้ดำรงอยู่ในศีลในธรรม พยายามกระทำในส่งที่ทรงเห็นว่าพึงกระทำเพื่อการลด-ละกรรม
อ้างอิง :
ดำรงราชานุภาพ, พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา. ประชุมพงศาวดารภาคที่ 52 จดหมายเหตุเมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคต. พระนคร : โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร, 2472 , (พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พิมพ์พระราชทานในงานพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมขุนสงขลานครินทร ครบสัปตมวาร วันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2472)
ตำนานพระแก้วมรกตฉบับสมบูรณ์. พระนคร : โรงพิมพ์อักษรบริการ, 2504
ทิพารกรวงศ์, เจ้าพระยา. พระราชพงษาวศารดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 4. 2 เล่ม, กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภา, 2504
ประชุมพระราชนิพนธ์ภาษาบาลีในรัชกาลที่ 4 ภาคที่ 2. นครหลวง : โรงพิมพ์มหามกุฎราชวิทยาลัย, 2515
สุภาพรรณ ณ บางช้าง. “พระราชนิพนธ์ขอขมาลาพระสงฆ์ก่อนสิ้นพระชนม์ของรัชกาลที่ 4”. ศิลปวัฒนธรรม, ปีที่ 7 ฉบับที่ 9 (กรกฎาคม 2529)
“จดหมายเหตุเรื่องพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแรกทรงประชวรจนถึงเวลาสวรรคต” บันทึกโดยเจ้าพระยามหินทรศักดิธำรง เมื่อครั้งเป็นพระยาบุรุษรัตนราชพัลลภ. แถลงงานประวัติศาสตร์เอกสารโบราณคดี. 9 (มกราคม-มิถุนายน 2528) : 35-50.
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 14 มกราคม 2562