ที่มา | ลูกท่านหลานเธอ |
---|---|
ผู้เขียน | ศันสนีย์ วีระศิลป์ชัย |
เผยแพร่ |
“เจ้าหญิงปราง” ผู้ที่ต่อมาคือ เจ้าจอมมารดาเจ้าหญิงปราง เป็นเจ้าจอมองค์หนึ่งใน สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ชีวิตของเจ้าจอมมารดาองค์นี้น่าที่จะแสดงถึงพระราชอัธยาศัย หรือเข้าใจถึงพระบรมราโชบายด้านการเมืองของ “พระเจ้าตาก” ประการใดประการหนึ่ง หรืออาจเป็นได้ทั้งสองประการ
เจ้าหญิงปราง เป็นธิดา เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (หนู) หัวหน้าชุมนุมเจ้านครฯ ซึ่งเป็นชุมนุมหนึ่งในห้าชุมนุม ที่ตั้งขึ้นครั้งกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่า พ.ศ. 2310
เมื่อ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เสด็จยกทัพไปปราบชุมนุมเจ้านครฯ เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (หนู) ยอมสวามิภักดิ์ ตามเสด็จเข้ามารับราชการอยู่ ณ กรุงธนบุรี และได้ถวายธิดาเป็นบาทบริจาริกา 3 องค์ คือ เจ้าหญิงฉิม โปรดสถาปนาเป็น “กรมบริจาภักดีศรีสุดารักษ์” เจ้าหญิงจวน หรือ ยวน และธิดาองค์เล็กสุด คือ เจ้าหญิงปราง หรือทูลกระหม่อมฟ้า หญิงเล็กของชาวนครศรีธรรมราช
ครั้งนั้นความสัมพันธ์ระหว่างกรุงธนบุรีกับนครศรีธรรมราชใกล้ชิดสนิทสนมกันเป็นอย่างมาก หลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงสัมพันธภาพอันสนิทแน่นระหว่าง สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช กับ เจ้าพระยานครฯ คือการที่โปรดพระราชทานสิทธิพิเศษแก่เจ้าพระยานครฯ เป็นอย่างมาก เช่น มีพระบรมราชานุญาตให้มีละครหญิงในราชสำนักของเจ้านครฯ ได้ ซึ่งนับว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างสูง เพราะแต่เดิมมานอกจากในพระราชสำนักแล้ว จะไม่พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ผู้ใดมีละครหญิง
แต่จะเป็นด้วยเหตุที่ว่าเพราะทรงมีความสัมพันธ์สนิทสนมเป็นส่วนพระองค์กับเจ้าพระยานครฯ หรือเป็นเพราะทรงมีพระบรมราโชบายด้านการเมืองที่ลึกซึ้งก็ตาม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ “เจ้าจอมมารดาเจ้าหญิงปราง” ก็เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่เกี่ยวข้องกันอย่างน่าสนใจ ดังนี้
ดังได้กล่าวแล้วว่า เจ้าจอมมารดาเจ้าหญิงปรางเป็นธิดาองค์เล็กของเจ้าพระยานครฯ ซึ่งถวายเป็นบาทบริจาริกาในสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช แม้จะมิได้มีบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตตอนต้นของเจ้าหญิงปรางไว้ในประวัติศาสตร์ แต่จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อมาชวนให้สันนิษฐานว่า เมื่อครั้งสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเสด็จยกกองทัพไปปราบชุมนุมเจ้านครฯ ขณะนั้นเจ้าหญิงปรางน่าจะอยู่ในวัยรุ่นกำดัด ทรงสิริโฉมงดงาม เป็นที่ต้องตาต้องใจของทหารเอกคู่พระทัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชคนหนึ่ง คือ เจ้าพระยาพิชัยราชา
เจ้าพระยาพิชัยราชาผู้นี้เป็นทหารผู้เคยร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ตั้งแต่ครั้งที่ตีฝ่ากองทัพพม่ามาด้วยกันเมื่อปลายกรุงศรีอยุธยา และในสงครามอีกหลายครั้ง รวมทั้งคราวปราบชุมนุมเจ้านครฯ ด้วย
เมื่อเจ้าพระยานครฯ ยอมแพ้เข้าสวามิภักดิ์ ถวายธิดา 3 องค์ เป็นบาทบริจาริกาในสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชนั้น ชะรอยเจ้าพระยาพิชัยราชาจะเข้าใจว่าเจ้านครฯ ถวายแต่เจ้าหญิงฉิมเพียงองค์เดียว ส่วนเจ้าหญิงปรางนั้นตามเข้าไปอยู่ด้วยกันกับพี่สาวในพระราชวัง
ดังนั้นเมื่อเสร็จศึกสงครามแล้ว เจ้าพระยาพิชัยราชาได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น เจ้าพระยาสวรรคโลก ผู้สำเร็จราชการเมืองสวรรคโลก และด้วยเหตุที่เข้าใจผิดดังกล่าว เจ้าพระยาพิชัยราชาจึงส่งเถ้าแก่มาสู่ขอเจ้าหญิงปราง
เรื่องราวตอนนี้ปรากฏหลักฐานในพระราชพงศาวดารว่า “…ในเดือน ๑๒ ปีวอก อัฐศก จศ ๑๑๓๘ (พ.ศ. ๒๓๑๙) นั้น เจ้าพระยาพิชัยราชาผู้เป็นเจ้าพระยาสวรรคโลก ลงมารับราชการอยู่ ณ กรุงแต่งผู้เฒ่าผู้แก่เข้าไปขอน้องสาวเจ้าจอมฉิมพระสนมเอกบุตรตรี เจ้านครศรีธรรมราช ซึ่งอยู่ในพระราชวัง จะมาเลี้ยงเป็นภรรยา”
ครั้งนั้น พระราชพงศาวดารได้บันทึกปฏิกิริยาของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชที่ทรงมีต่อเรื่องนี้ว่า
“…ครั้นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงทราบก็ทรงพระพิโรธ ดำรัสว่ามันทำบังอาจจะมาเป็นคู่เขยน้องเขยใหญ่กับกูผู้เป็นเจ้าแผ่นดิน จึงดำรัสสั่งให้เอาตัวเจ้าพระยาพิชัยราชาไปประหารชีวิตเสีย ตัดศีรษะมาเสียบประจานไว้ที่ริมประตูข้างฉนวนลงพระตำหนักแพ อย่าให้ใครเอาเยี่ยงอย่างสืบไปภายหน้า…”
แม้ว่าเจ้าพระยาพิชัยราชาจะถูกประหารชีวิตไปแล้ว แต่เรื่องราวของเจ้าหญิงปรางก็มิได้ยุติเป็นปกติ เพราะในปลายปีนั้นเอง เจ้าพระยานคร (พัฒน์) ขณะดำรงตำแหน่งพระอุปราชเมืองนครศรีธรรมราช เคยรับราชการสนองพระเดชพระคุณตามเสด็จไปราชการทัพ รบชนะศึกหลายครั้งเป็นที่โปรดปราน ได้เข้ามาถวายข้อราชการ ณ กรุงธนบุรี
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงทราบว่า เจ้าพระยานคร (พัฒน์)เป็นม่าย ภรรยา คือ เจ้าหญิงนวล ธิดาองค์โตของเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (หนู) ถึงแก่กรรม จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ออกโอษฐ์พระราชทานเจ้าหญิงปรางให้เป็นภรรยาแทน
พระราชพงศาวดารบันทึกประวัติศาสตร์ตอนนี้ไว้ว่า “…เนื่องจากทรงสงสารด้วยภรรยาตาย…” และแม้ท้าวนางฝ่ายในจะทูลเตือนว่า “นางนั้นขาดระดูอยู่” แต่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชก็มิได้ทรงเปลี่ยนพระทัย กลับดำรัสว่า “ได้ออกปากให้เขาแล้วก็พาไปเถิด”
ด้วยเหตุนี้ เจ้าหญิงปราง ซึ่งขณะนั้นทรงอยู่ในตำแหน่งเจ้าจอม และทรงครรภ์ได้ 2 เดือน จำต้องเสด็จไปอยู่นครศรีธรรมราชตามพระราชประสงค์ของพระราชสวามี
หลักฐานเอกสารเรื่อง “อธิบายเรื่องตั้งเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย)” ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ตอนนี้ว่า
“…เมื่อท้าวนางพาธิดาเจ้านครไปส่งนั้น เจ้าอุปราช (พัฒน์) ก็ทราบความลับนั้น มีความยำเกรงพระบารมีก็ต้องรับไว้เป็นท่านผู้หญิงอย่างกิตติมศักดิ์อยู่จนตลอดอายุ…”
การที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงรับสั่งประหารชีวิต “เจ้าพระยาพิชัยราชา” ผู้สำเร็จราชการเมืองสวรรคโลก กรณีแต่งเถ้าแก่ไปสู่ขอเจ้าหญิงปราง แต่กลับพระราชทานเจ้าหญิงปรางซึ่งทรงครรภ์ได้ 2 เดือนแก่เจ้าอุปราช (พัฒน์) นั้น เป็นเรื่องที่แปลก และน่าที่จะศึกษาค้นคว้าหลักฐานเกี่ยวกับพระราชดำริของพระองค์
อย่างไรก็ตาม พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงมีพระราชวิจารณ์เหตุการณ์ครั้งนี้ว่า
“…อยู่มาเมื่อปลายแผ่นดินตาก ชายาเจ้าอุปราชเมืองนครตาย ด้วยความโปรดปรานอย่างตึงตังอย่างไร หรือเพราะความคิดของเจ้ากรุงธนบุรีที่จะปลูกฝังลูกให้ได้ครอบครองเมืองอื่น ๆ กว้างขวางออกไปแนวเดียวกันกับให้กรมขุนอินทรพิทักษ์ออกไปครองเมืองเขมรนั้น จึงได้พระราชทานบุตรหญิงเจ้านครซึ่งเป็นน้องเจ้าจอมมารดาฉิม มารดาพระพงศ์นรินทร์ให้ออกไปเป็นชายา…”
เจ้าจอมมารดาเจ้าหญิงปราง เสด็จไปประทับอยู่ ณ เมืองนครศรีธรรมราช อย่างแม่เมือง จนประสูติพระราชบุตรพระนาม เจ้าน้อย ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่า เจ้าน้อยผู้นี้คือพระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
เอกสารอธิบายเรื่องตั้ง เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย) ไว้ว่า
“…ความที่ว่าเจ้าพระยานคร (น้อย) เป็นราชบุตรลับของพระเจ้ากรุงธนบุรีนั้น แม้ฝรั่งทางเมืองเกาะหมากก็รู้ ได้เขียนหนังสือพิมพ์ไว้แต่ในรัชกาลที่สาม…”
ด้านความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าน้อยกับพระราชโอรสพระราชธิดาองค์อื่นๆ ในสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชวิจารณ์ว่า
“…เจ้าพระยานครผู้นี้มีอำนาจวาสนามากกว่าเจ้าพระยานครทุกคน เป็นเรื่องที่เขาเล่ากระซิบกันเป็นการเปิดเผย และพวกบุตรหลาน เจ้ากรุงธนบุรีก็นับถือว่าเป็นพี่น้อง เหตุฉะนั้นจึงนับเกี่ยวข้องกันในเชื้อวงศ์เจ้ากรุงธนบุรีกับพวกนครศรีธรรมราช…”
ด้วยเหตุที่กรุงธนบุรีมีสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับเมืองนครศรีธรรมราชเช่นนี้ จึงมีผู้เล่าลือและเชื่อกันว่า เมื่อเกิดเหตุจลาจลปลายกรุงธนบุรี และพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชขณะทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก โปรดให้สำเร็จโทษสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช มีผู้ช่วยเหลือให้พระองค์ได้เสด็จหนีไปนครศรีธรรมราช โดยทรงผนวชซ่อนองค์อยู่ในถ้ำวัดเขาขุนพนม ซึ่งเป็นชัยภูมิที่เหมาะ
กล่าวกันว่า ปัจจุบัน ยังมีหลักฐานและร่องรอยปรากฏให้เห็น เช่น อาคารที่ประทับ และด้านหน้าถ้ำยังปรากฏร่องรอยของกำแพงก่ออิฐถือปูนประดับใบเสมาทำนองเดียวกับกำแพงเมือง และซากป้อมซึ่งมีช่องคล้ายที่ตั้งปืนใหญ่ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีผู้พบหลักฐานเอกสารยืนยันคำเล่าลือและความเชื่อดังกล่าว
อ่านเพิ่มเติม :
- ไขปริศนา พระเจ้าตาก “บ้า” จริงหรือ!?
- ไขปริศนา พระเจ้าตาก “บวช” จริงไหม?
- พระเจ้าตาก ปราบ “นายทองอยู่นกเล็ก” นายโจรอยู่เป็น แห่งบางปลาสร้อย
หมายเหตุ : คัดเนื้อหาส่วนหนึ่งจากหนังสือ “ลูกท่านหลานเธอ” เขียนโดย ศันสนีย์ วีระศิลป์ชัย (มติชน, 2558)
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 27 พฤษภาคม 2562