ผู้เขียน | กันตพงศ์ ก้อนนาค |
---|---|
เผยแพร่ |
พระเจ้าเอกทัศ หรือ สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อัมรินทร์ ทรงเป็นกษัตริย์พระองค์ที่ 33 ซึ่งเป็นพระองค์สุดท้ายแห่ง “กรุงศรีอยุธยา” ที่พระราชพงศาวดารระบุถึงพระองค์ไปในเชิงไม่ค่อยดีนัก โดยกล่าวว่า พระเจ้าเอกทัศ ทรงเป็นสาเหตุของการเสียกรุงครั้งที่ 2
“กรมขุนอนุรักษ์มนตรีนั้นโฉดเขลาหาสติปัญญาและความเพียรมิได้ ถ้าให้ดำรงฐานาศักดิ์มหาอุปราชสำเร็จราชการกึ่งหนึ่งนั้นบ้านเมืองก็จะเกิดภัยพิบัติฉิบหายเสีย” เป็นคำกล่าวที่ปรากฏใน พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา ถึงพระราชจริยวัตรอันไม่งามของพระมหากษัตริย์พระองค์นี้
ในความรับรู้ของคนทั่วไปและในแบบเรียนประวัติศาสตร์มักมองพระองค์ด้านร้าย ส่งผลต่อทัศนคติของคนไทยอย่างชัดเจน รวมไปถึงละครโทรทัศน์เนื้อหาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ เช่น สายโลหิต ฟ้าใหม่ ซึ่งเป็นสื่อที่คนไทยส่วนใหญ่เข้าถึงได้ง่าย ก็แสดงภาพลักษณ์ด้านลบของพระมหากษัตริย์พระองค์นี้เสียเป็นส่วนใหญ่ แต่เมื่อศึกษาจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ เช่น คำให้การชาวกรุงเก่า กลับปรากฏเรื่องราวของพระเจ้าเอกทัศที่ต่างออกไปจากการรับรู้ข้างต้น
พระราชกรณียกิจสำคัญที่เกิดขึ้นในรัชสมัยพระเจ้าเอกทัศ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา เช่น คราวที่พระเจ้าเอกทัศขึ้นครองราชย์สมบัติ พระองค์โปรดให้หล่อพระพุทธรูปขนาดเท่าพระองค์ ทรงบริจาคทรัพย์ทำการเฉลิมฉลองพระพุทธรูป แล้วอัญเชิญพระพุทธรูปพระองค์นั้นไปยังวัดวิหารหลวงวัดพระศรีสรรเพชญ์
ช่วงต้นรัชกาลยังโปรดสร้างวัดเพื่อเป็นการสืบทอดพระพุทธศาสนา ทรงบริจาคพระราชทรัพย์เพื่อสร้างพระอารามขึ้น 2 แห่ง คือ วัดละมุด และวัดครุฑาวาส ยังทรงเสร็จพระราชดำเนินไปนมัสการพระพุทธบาทที่สระบุรีเป็นประจำทุกปีอีกด้วย เมื่อบ้านเมืองสงบ พระเจ้าเอกทัศ ก็โปรดทำบุญบริจาคทรัพย์ให้แก่ผู้ยากไร้เป็นประจำเช่นกัน
ด้านเศรษฐกิจ พระองค์ทรงออกพระราชบัญญัติการใช้เครื่องชั่งตวง เครื่องวัดต่างๆ ทั้งเงินบาทเงินสลึงเงินเฟื้องให้เที่ยงตรง และยังยกเลิกภาษีอากรต่างๆ ภายใน 3 ปี นี่คือเรื่องราวที่ปรากฏในคำให้การชาวกรุงเก่า
ส่วนหลักฐานอีกหนึ่งเรื่องที่มีทิศทางเดียวกันกับคำให้การชาวกรุงเก่า คือ คำให้การขุนหลวงหาวัด (ฉบับหลวง) ที่กล่าวว่า
“พระองค์ตั้งอยู่ในธรรมสุจริต บพิตรเสด็จไปถวายนมัสการพระศรีสรรเพชทุกเพลามิได้ขาด พระบาทจงกรมอยู่เป็นนิจ บพิตรตั้งอยู่ในทศพิธสิบประการ แล้วครอบครองกรุงขันธสีมา
ทั้งสมณพราหมณ์ก็ชื่นชมยินดีปรีเปนศุขนิราชทุกขไภย ด้วยเมตตาบารมีทั้งฝนก็ดีบริบูรณภูลความศุกมิได้ดาล
ทั้งข้าวปลาอาหารและผลไม้มีรสโอชา ฝูงอาณาประชาราษฎร์และชาวนิคมชนบทก็อยู่เยนเกษมสานต์ มีแต่จะชักชวนกันทำบุญให้ทาน และการมโหรสพต่าง ๆ ทั้งนักปราชผู้ยากผู้ดีมีแต่ความศุกที่ทุกขอบขันธสีมา”
เนื้อหาที่พบไม่แตกต่างกันนักกับคำให้การชาวกรุงเก่า ส่วนพระราชพงศาวดารสมัยกรุงศรีอยุธยาส่วนใหญ่มักกล่าวถึงเหตุการณ์สำคัญๆ เท่านั้น และเรื่องราวการสงครามระหว่างอยุธยาและพม่าช่วงปลายรัชกาลถึงการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 ไม่ปรากฏเรื่องราวพระราชกรณียกิจของกษัตริย์องค์สุดท้ายของอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่
แม้แต่เพลงเพลงยาวนิราศเสด็จไปตีเมืองพม่า พระนิพนธ์ในสมเด็จฯ กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท เมื่อครั้งเสด็จไปตีเมืองพม่า เมื่อ พ.ศ. 2336 ทรงพระราชนิพนธ์เพลงยาวนิราศนี้ขึ้นแทนที่นิราศนั้นจะรำพึงถึงหญิงอันเป็นที่รักที่ต้องห่างจากกัน
แต่กรมพระราชวังบวรสุรสิงหนาททรงหวนรำลึกถึงพระนครศรีอยุธยาอันรุ่งเรือง และในนิราศเพลงยาวนี้ยังทรงกล่าวถึงความประมาทการที่ทรงมีพระเมตตามากล้นเกินพอดีของพระเจ้าแผ่นดินพระองค์สุดท้ายของพระนครแห่งนี้ไว้ด้วย ความว่า
“ทั้งนี้เป็นต้นด้วยผลเหตุ จะอาเพศกษัตริย์ผู้เป็นใหญ่
มิได้พิจารณาข้าไท เคยใช้ก็เลี้ยงด้วยเมตตา
ไม่รู้รอบประกอบในราชกิจ ประพฤติการแต่ที่ผิดด้วยอิจฉา
สุภาษิตท่านกล่าวเป็นราวมา จะตั้งแต่งเสนาธิบดี
ไม่ควรจะให้อัครฐาน จะเสียการแผ่นดินกรุงศรี
เพราะไม่ฟังตำนานโบราณมี จึงเสียทีเสียวงศ์กษัตรา”
ถึงไม่ใช่หลักฐานทางประวัติศาสตร์ทางการที่ชัดเจน แต่เพลงยาวนิราศเรื่องนี้ก็ทำให้ผู้อ่านเข้าใจสภาพการณ์ในช่วงการเสียกรุงฯ ได้เป็นอย่างดี จากมุมมองของผู้อยู่ร่วมเหตุการณ์
อ่านเพิ่มเติม :
- ผ่าปมเฒ่าสาเล่าเรื่อง “หนังราชสีห์” ที่ขุนหลวงเอกทัศรับสั่งว่ารักษาให้ดี ก่อนเสียกรุง
- บทบาท “พิษณุโลก” ก่อนเสียกรุง ฤๅเจ้าเมืองรีบชิ่งหนีอยุธยา เพราะรู้ว่าสู้อังวะไม่ได้!?
- 27 ค่ายพม่าล้อม กรุงศรีอยุธยา จากบันทึกของแม่ทัพพม่า คราวสงครามเสียกรุงครั้งที่ 2
อ้างอิง :
นามานุกรมพระมหากษัตริย์ไทย. (2554). กรุงเทพฯ : มูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา.
ประชุมคำให้การกรุงศรีอยุธยา รวม 3 เรื่อง. (2553). กรุงเทพฯ : แสงดาว.
อนงค์นาฏ เถกิงวิทย์. เพลงยาวนิราศกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท.
สืบค้นที่ http://pioneer.chula.ac.th/~tanongna/history/documents/10_nirat.htm
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 11 มีนาคม 2561