ผู้เขียน | เด็กชายผักอีเลิด |
---|---|
เผยแพร่ |
“ก้านบัวบอกลึกตื้น ชลธาร…” การสื่อความและเจตนารมณ์ใน “โคลงโลกนิติ”
“ก้านบัวบอกลึกตื้น ชลธาร
มารยาทส่อสันดาน ชาติเชื้อ
Advertisementโฉดฉลาดเพราะคำขาน ควรทราบ
หย่อมหญ้าเหี่ยวแห้งเรื้อ บอกร้ายแสลงดิน”
ถอดความหมายบทประพันธ์นี้ได้ว่า กิริยามารยาทบอกได้ถึงชาติตระกูลและอุปนิสัยของบุคคล เช่นเดียวกับความสั้น-ยาวของก้านบัวย่อมบอกระดับความลึกของหนองบึงนั้น คำพูดสามารถแสดงระดับสติปัญญาของบุคคลได้ เปรียบเหมือนหญ้าที่เหี่ยวแห้งย่อมบอกถึงคุณภาพหรือความอุดมสมบูรณ์ของดินบริเวณนั้น กล่าวโดยสรุปว่า การแสดงออกทางพฤติกรรมและคำพูดสามารถบอกตัวตนของบุคคลนั้นได้
บทประพันธ์ดังกล่าวอยู่ใน “โคลงโลกนิติ” (อ่านว่า โคลง-โลก-กะ-นิด) ประพันธ์โดยสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเดชาดิศร ระหว่าง พ.ศ. 2374-2378 ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) สืบเนื่องจากมีพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้บูรณปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม และมีพระราชประสงค์ให้รวบรวมสรรพวิชาความรู้ของไทยมาจารึกบนแผ่นศิลาประดับไว้ในวัดพระเชตุพนฯ
รัชกาลที่ 3 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเดชาดิศร ซึ่งขณะนั้นดำรงพระยศเป็นพระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนเดชอดิศร รวบรวมและชำระโคลงโลกนิติสำนวนเก่าแล้วนำมาจารึกบนแผ่นศิลา เพื่อเป็นโอวาทสอนใจประชาชน ดังปรากฏในโคลงบทแรกว่า
“อัญขยมบรมเรศน์เรื้อง รามวงศ์
พระผ่านแผ่นไผททรง สืบไท้
แสวงยิ่งสิ่งสดับองค์ โอวาท
หวังประชาชนให้ อ่านแจ้งคำโคลง”
โคลงสำนวนของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเดชาดิศร เมื่อรวมสำนวนเดิมที่นำมาปรับปรุง และส่วนที่ประพันธ์ขึ้นใหม่ รวมเป็นทั้งสิ้น 593 บท สำหรับสำนวนเดิมนั้น สันนิษฐานว่ามีการแต่งขึ้นก่อนสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ สืบเนื่องจากเนื้อความในบท 2 ที่ว่า
“ครรโลงโลกนิตินี้ นมนาน
มีแต่โบราณกาล เก่าพร้อง
เป็นสุภษิตสาร สอนจิต
กลดั่งสร้อยสอดคล้อง เวี่ยไว้ในกรรณ”
โคลงนี้ใช้ฉันทลักษณ์หรือรูปแบบการประพันธ์แบบ “โคลง” โดยคำว่า “โลกนิติ” หมายถึง “ระเบียบแบบแผนของโลก” เนื้อหามุ่งเน้นการกล่าวถึงสัจธรรมหรือความเป็นจริงของโลก ความไม่เที่ยงของสิ่งทั้งปวง หรือความซับซ้อนของจิตใจมนุษย์ และสอนเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตหรือการประพฤติตน เช่น การพูด การคบคน การใฝ่หาความรู้ ฯลฯ
ดังโคลงบท “ก้านบัวบอกลึกตื้น ชลธาร…” ที่กล่าวถึงแต่แรกนั้น คือการเสนอความจริงเกี่ยวกับมนุษย์ว่า อากัปกิริยาที่แสดงออกทั้งหลายเป็นเครื่องสะท้อนชาติกำเนิด การเลี้ยงดู อบรมสั่งสอน อุปนิสัย และสติปัญญาของแต่ละบุคคล สิ่งเหล่านี้เป็น “นามธรรม” แต่ผู้ประพันธ์หยิบยก “รูปธรรม” จากธรรมชาติ คือ บึงน้ำ – บัว และ ผืนดิน – หญ้า มาเปรียบเทียบให้เห็นภาพได้อย่างแยบคาย
การเปรียบเทียบดังกล่าวนอกจากจะสอนเรื่องการมองโลกหรือมองคนแล้ว ยังช่วยกระตุ้นเตือนบุคคลให้ระมัดระวังการแสดงออกของตนทั้งคำพูดและการกระทำ อันก่อประโยชน์ในเรื่องการได้รับการยอมรับจากบุคคลอื่นและการอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างมีความสุขด้วย
อ่านเพิ่มเติม :
สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่
อ้างอิง :
ราชบัณฑิตยสถาน. (2557). กวีวัจน์วรรณนา วรรคทองในวรรณคดีไทยพร้อมประวัติและคำอธิบาย. กรุงเทพฯ : ราชบัณฑิตยสถาน
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 19 กันยายน 2565