
ผู้เขียน | กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม |
---|---|
เผยแพร่ |
ย้อนไปเมื่อราวร้อยปีก่อน นอกจาก “เจ้านาย” จะลงทุนทำธุรกิจแล้ว “ขุนนาง” ก็นิยมทำธุรกิจด้วยเช่นกัน ซึ่งหนึ่งในขุนนางที่ทำธุรกิจแล้วรุ่งก็คือ พระยาภิรมย์ภักดี ต้นกำเนิดเบียร์สิงห์ ที่ทายาทสานต่อธุรกิจจนเติบใหญ่มาถึงปัจจุบัน
การลงทุนทำธุรกิจของเหล่าเจ้านายและขุนนางสยาม เริ่มปรากฏในสมัยรัชกาลที่ 3 โดยเฉพาะการทำโรงงานน้ำตาล ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกสำคัญยุคนั้น
ต่อมาเมื่อทำ “สนธิสัญญาเบาว์ริง” กับอังกฤษในสมัยรัชกาลที่ 4 พระคลังสินค้าต้องยกเลิกการผูกขาดการค้า ต้องเปิดเสรีทางการค้า การผลิตที่แต่เดิมมีจุดประสงค์เพื่อยังชีพก็เปลี่ยนเป็นเพื่อการส่งออกมากขึ้น
ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ ทำให้เจ้านายและขุนนางที่เคยผูกขาดสินค้า ต้องปรับตัวให้เข้ากับระบบเศรษฐกิจสมัยใหม่ นั่นคือการลงทุนเพื่อหวังผลกำไรตอบแทน
แม้จะมีทุนทรัพย์สำหรับลงทุนธุรกิจ แต่เจ้านายหลายพระองค์และขุนนางหลายคนกลับไม่ประสบความสำเร็จ บางคนถึงขั้นล้มละลายก็มี ขณะที่บางคนสามารถปักหลักและเดินหน้าธุรกิจได้อย่างมั่นคง ซึ่งตัวอย่างของขุนนางที่ทำธุรกิจแล้วเจริญรุ่งเรือง คือ พระยาภิรมย์ภักดี (บุญรอด เศรษฐบุตร)

จากนายห้างค้าไม้สู่เจ้าของโรงเบียร์
พระยาภิรมย์ภักดี ต้นกำเนิดเบียร์สิงห์ เกิดช่วงต้นรัชกาลที่ 5 เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2415 ที่บ้านปลายสะพานยาว วัดบพิตรพิมุข (เชิงเลน) ปากคลองโอ่งอ่าง ในพื้นที่สัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ
วัยเด็กร่ำเรียนหนังสือกับบิดา จนอายุ 11 ปี ได้ไปเรียนหนังสือกับพระอาจารย์เนียมที่วัดเชิงเลน ผ่านไปราวปีเศษก็ไปเรียนฝึกหัดวาดเขียนที่บ้านหลวงฤทธิ์ฯ และเรียนภาษาอังกฤษกับซามูเอล แมคฟาร์แลนด์ หรือ “หมอแมคฟาร์แลนด์” ที่โรงเรียนสวนนันทอุทยาน จากนั้นอีก 2 ปี โรงเรียนก็ย้ายไปสอนที่สุนันทาลัย ซึ่งท่านก็สอบไล่ได้ที่ 1 ในทุกวิชาของโรงเรียน
ปี 2433 ท่านได้เป็นครูสอนนักเรียนในโรงเรียนสุนันทาลัย ต่อมาก็ไปเป็นครูสอนเด็กที่โรงเลี้ยงเด็กอนาถา จวบจนปี 2435 เจ้าพระยาภาสกรวงศ์ (พร บุนนาค) เสนาบดีกระทรวงธรรมการ ออกปากชักชวนให้ท่านลองทำหน้าที่เลขานุการกระทรวงธรรมการ
หลังจากทำงานราชการได้เกือบปี ความสนใจของ “บุญรอด เศรษฐบุตร” ก็หันสู่ด้านธุรกิจ
เริ่มต้นการทำงานในตำแหน่งเสมียนที่ ห้างกิมเซ่งหลี ซึ่งมีกิจการโรงสีไฟ ป่าไม้ และโรงเลื่อยจักร มีหน้าที่เป็นล่าม แปลหนังสือภาษาอังกฤษ ตอบโต้เกี่ยวกับการสั่งสินค้าเข้าและส่งสินค้าออก ต่อมาทำงานที่ ห้างเด็นนิม็อต แอนด์ ดิกซัน ดำเนินกิจการโรงเลื่อย ทำให้มีความรู้ด้านการติดต่อต่างประเทศเพิ่มเติมขึ้น
ไม่เพียงธุรกิจค้าไม้ เพราะเมื่อเห็นว่าการเดินทางข้ามฟากระหว่างฝั่งธนบุรี-พระนคร ยังลำบาก ในปี 2453 ท่านจึงก่อตั้งกิจการ “เรือเมล์ขาว” ภายใต้บริษัท บางหลวง จำกัด ทำธุรกิจเดินเรือข้ามฟาก
แม้ภายหลังจะมีคู่แข่งเกิดขึ้น แต่กิจการของท่านก็ยังก้าวหน้าด้วยดี กระทั่งปี 2471 เมื่อราชการจะสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาตรงท่าโรงยางเก่าไปฝั่งธนบุรี และตัดถนนใหม่เชื่อมตลาดพลู ประตูน้ำภาษีเจริญ ตามแนวทางที่เรือยนต์เดินอยู่ พระยาภิรมย์ภักดีจึงมองหาลู่ทางการทำธุรกิจอื่น
ท่านได้พบมิสเตอร์ไอเซนโฮเฟอร์ ผู้จัดการห้างเพาส์ปิกเคนปัก และได้ลิ้มรสเบียร์เยอรมันจนถูกใจ จึงคิดว่าน่าจะทำขายในเมืองไทยได้ จึงยื่นหนังสือขออนุญาตตั้งโรงต้มกลั่นเบียร์แห่งแรกของไทยในปี 2473 ด้วยทุนจดทะเบียนเริ่มแรก 600,000 บาท
ต่อมา รัฐบาลอนุมัติให้ผลิตเบียร์เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม ปี 2476 วันนี้จึงถือเป็นวันเกิดของบริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด
เมื่อการก่อสร้างโรงเบียร์แล้วเสร็จในปี 2477 บริษัทก็เปิดตัวเบียร์ยี่ห้อ “โกลเด้นไคท์” และ “สิงห์” ขายราคาขวดละ 32 สตางค์ และด้วยความขยันอุตสาหะของพระยาภิรมย์ภักดี ต้นกำเนิดเบียร์สิงห์ ทำให้ในระยะเวลาไม่ถึง 2 ปี บริษัทสามารถครองตลาดเบียร์ได้อย่างรวดเร็วถึงราว 40%
พระยาภิรมย์ภักดี จึงเป็นตัวอย่างหนึ่งของขุนนางในระบบเศรษฐกิจใหม่ ที่สร้างตัวด้วยความอุตสาหะ อดทน กระทั่งประสบความสำเร็จ มีธุรกิจที่สืบต่อมาถึงปัจจุบัน
อ่านเพิ่มเติม :
- เหล้าของล้านนา-ล้านช้าง ความเป็นมาของเหล้าในตำนาน-พิธีกรรม ถึงยุคนายทุน
- ชาวสยามดื่มเบียร์ตั้งแต่เมื่อไหร่? จากเหล้าพื้นเมืองถึงบ.บุญรอด โดยพระยาภิรมย์ภักดี
- เปิดชีวิต ประจวบ ภิรมย์ภักดี นักปรุงเบียร์คนแรกของไทย ผู้สืบทอดตํานาน “ตราสิงห์”
สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่
อ้างอิง :
กฤษณะ โสภี. “เมื่อเจ้านายไทย ‘ทำธุรกิจ’ ประเมินผลการลงทุนของ ‘พระยาภิรมย์ภักดี’ ถึง ‘เจ้าพระยายมราช’”.
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 23 เมษายน 2568