คดีดังสมัย ร.4 เมื่อ “เจ้าจอมกลีบ” ลอบทำเสน่ห์ยาแฝดใส่พระกระยาหารพระปิ่นเกล้า!

พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ประกอบเรื่อง คดีเจ้าจอมกลีบ
พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว

คดีเจ้าจอมกลีบ เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 เมื่อ “เจ้าจอมกลีบ” เจ้าจอมคนโปรดในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว กษัตริย์เจ้าวังหน้า ถูกกล่าวหาว่าทำเสน่ห์ยาแฝดใส่พระสวามี

พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ เป็นที่เลื่องชื่อลือชาว่าทรงมีพระอุปนิสัยเป็น “นักรัก” ด้วยทรงมีเจ้าจอมหม่อมห้ามมากกว่า 120 คน และเมื่อจะเสร็จไปประทับที่พระบวรราชวังสีทา ตำบลสีทา แขวงเมืองสระบุรี อันเป็นที่โปรดปรานก็จะมีเจ้าจอมรูปงามและเจ้าจอมที่โปรดโดยเสด็จไปด้วยไม่น้อยกว่า 25 คน

ในบรรดาเจ้าจอมทั้งหลาย “เจ้าจอมกลีบ” หรือเจ้าจอมมารดากลีบ เป็นเจ้าจอมคนโปรดที่สุด (ไม่มีภาพถ่ายปรากฏ) ดังมีพระโอรส-พระธิดาถวายสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ หลายพระองค์ และจากความสามารถด้านการทำอาหาร จึงรับหน้าที่เป็นนายเครื่องดูแลห้องครัว พระกระยาหารให้พระสวามี

วันหนึ่งใน พ.ศ. 2404 ก็เกิดเรื่องขึ้น เพราะมีข่าวลือแพร่สะพัดทั้งในวังหน้าและวังหลวง จนมีผู้กระซิบกราบทูลกษัตริย์เจ้าวังหน้าว่า เจ้าจอมกลีบลักลอบแอบทำเสน่ห์ยาแฝดใส่พระองค์ เป็นเหตุให้ทรงหลงใหลเจ้าจอมท่านนี้มากกว่าคนอื่น ๆ !

พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว

คดีเจ้าจอมกลีบ

เรื่องนี้ ประยุทธ สิทธิพันธ์ เล่าไว้ในหนังสือ ศาลไทยในอดีต ความว่า สมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ โปรดฯ ให้พระยาพิไชยบุรินทรา พระยามณเฑียรบาลผู้เป็นตุลาการในพระบวรราชวังชำระความสอบสวน แต่คณะทำงานเห็นว่าพระอัธยาศัยไม่กริ้วนัก จึงชำระความแต่พอเป็นราชการ ไม่ได้หาความจริงใด ๆ อย่างละเอียด 

สมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ เองไม่อยากให้ใครครหานินทาว่าพระองค์ทรงหลงใหลเจ้าจอมท่านนี้จนเกินไป จึงโปรดให้ปลดเจ้าจอมกลีบออกจากตำแหน่งนายเครื่อง แล้วให้พระราชโยธามาว่าการแทน

อย่างไรก็ตาม ฝีมือการทำครัวปรุงพระกระยาหารของเจ้าจอมกลีบเป็นที่ยอมรับอย่างยิ่ง เพราะที่ผ่านมาสามารถปรุงพระกระยาหารให้ถูกพระทัยเสมอมา ต่อมาไม่นานเมื่อสมเด็จพระปิ่นเกล้า ฯ ทรงพระประชวรจนเสวยพระกระยาหารไม่ได้ จึงมีพระดำริอยากให้เจ้าจอมกลีบเข้ามาทำเครื่องเสวยใหม่

ครั้งนั้นได้มีผู้รับรองค้ำประกันเจ้าจอมกลีบให้กลับมาเป็นนายเครื่องหลายคน ได้แก่ พระยาพิไชยบุรินทรา หลวงเสนาพลสิทธิ์ หลวงเพ็ชรชลาลัย จมื่นศรีบุรีรักษ์ จ่าการประกอบกิจ ท้าวพิพัฒน์โภชา (แย้ม) และผู้ช่วยขำ ภรรยาพระพรหมธิบาล (เสม) ทั้งหมดเข้าชื่อทำเรื่องว่าหากเกิดเหตุบังอาจทำเสน่ห์ยาแฝดจริงตามข่าวลือ ให้เอาโทษกับนายประกันทั้ง 7 ถึงชีวิต พระองค์จึงเห็นชอบ ให้เจ้าจอมกลีบเข้ามาดูแลครัวอีกครั้ง

แต่​ต่อมาพระอาการประชวรของสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ ทรุดหนักลงอีก เพราะวันหนึ่งเจ้าจอมกลีบปรุงเครื่องก๋วยเตี๋ยวให้เจ้าพนักงานตั้งถวาย เสวยได้ 2 คำก็เบือนพระพักตร์ด้วยทรงเห็น “ขน” อยู่ในชาม จึงกริ้วเจ้าจอมกลีบและทรงนึกถึงเรื่องเก่าขึ้นมา ทำให้ทรงพระประชวรมีพระอาการต่าง ๆ จนต้องเสด็จไปเที่ยวรักษาพระองค์ตามหัวเมืองอยู่เนือง ๆ

ครั้นถึงวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2408 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 พระบรมเชษฐาธิราชเสด็จไปเยี่ยมพระอาการประชวรถึงที่ประทับวังหน้า สมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ จึงกราบบังคมทูลว่า การที่ทรงพระประชวรหนักนี้ มีความสงสัยว่า เจ้าจอมกลีบจะทำเสน่ห์ยาแฝดใส่ ขอรับพระราชทานข้าทูลละอองธุลีพระบาทเป็นตุลาการชำระให้เห็นดำเห็นแดงกันไป

รัชกาลที่ 4 ทรงรับคำขอร้องจากพระราชอนุชา มีพระบรมราชโองการสั่งให้พระยามณเฑียรบาล พระยาอนุชิตชาญชัย พระยาบริรักษ์ราชา พระยาอัษฎาเรืองเดช พระพรหมธิบาล พระพรหมสุรินทร์ เป็นคณะตุลาการชำระคดีประหลาดนี้

ที่สุดก็สรุปความกันว่า เจ้าจอมกลีบบังอาจทำเสน่ห์ยาแฝดจริง โดยมีอ้ายช้าง อ้ายขนานแดง อ้ายโสม เป็นครูร่วมหัวกัน จึงโปรดให้ลูกขุนปรึกษาโทษโดยเร็ว

คณะลูกขุนร่วมพิจารณาปรึกษาโทษเห็นว่าเจ้าจอมกลีบมีพระองค์เจ้าถึง 12 พระองค์ แต่ไม่มีความคิดความกตัญญูรู้พระเดชพระคุณ บังอาจคิดทรยศ อนึ่ง อ้ายช้าง อ้ายโสม อ้ายขนานแดง ผู้เป็นครู น้อย แย้ม ขำ จ่าการประกอบกิจ ซึ่งเป็นญาติและรู้เห็น รวมด้วยกัน 8 คน ให้ริบราชบาตร (ยึดทรัพย์-ข้าทาสบริวารในครอบครองมาเป็นของหลวง) แล้วลงพระราชอาญาเฆี่ยนก่อนเอาไปประหารชีวิต

ส่วนพระพิไชยบุรินทรา จมื่นศรีบริรักษ์ หลวงเสนาพลสิทธิ์ เป็นแต่นายประกันทำตามพระอัธยาศัย ไม่รู้เห็นเป็นใจด้วย ให้ถอดจากตำแหน่ง แล้วลงพระราชอาญาจำคุก

นอกจากนี้ยังมี อ้ายจันชุบ อียา อีอ่วม อีป้อมก้อน อียิ้มแก้ว อีหนู ซึ่งไม่ได้เป็นข้าทาสแต่มารับใช้เจ้าจอมกลีบ ให้ถือว่าเป็นผู้รู้เห็นด้วย จึงถูกลงพระราชอาญาเฆี่ยน แล้วจำคุกเช่นกัน

หลังการพิพากษาโทษบุคคลเหล่านี้ได้ไม่นาน พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ทรงพระประชวรหนักลงถึงสวรรคตเมื่อวันอาทิตย์ ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2408

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

นั่นทำให้เหตุการณ์กลับกลายเป็นว่า รัชกาลที่ 4 เองก็ยังทรงแคลงพระราชหฤทัยว่า เรื่องเจ้าจอมกลีบทำเสน่ห์ยาแฝดอาจไม่ใช่เรื่องจริง สุดท้ายก็มีพระราชวินิจฉัยและมีพระราชหัตถเลขาผ่อนผันให้บุคคลที่ข้องเกี่ยวกับคดีสุดฉาวโฉ่นี้ โดยเนรเทศเจ้าจอมกลีบ แย้ม ขำ ไปอยู่เมืองสุโขทัย ส่งอ้ายโสม อ้ายช้าง อ้ายขนานแดง ไปจำคุก ส่วนจ่าการประกอบกิจกับน้อยนั้น โปรดให้ยกโทษแล้วปล่อยตัวไป

ด้านพระยาพิไชยบุรินทรา หลวงเสนาพลสิทธิ์ จมื่นศรีบริรักษ์ ก็โปรดให้พ้นจากการจองจำ แต่มิได้ทรงตั้งขึ้นรับราชการอีก…

อ่านเพิ่มเติม : 

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


อ้างอิง : 

ประยุทธ สิทธิพันธ์. (2506). ศาลไทยในอดีต. กรุงเทพฯ : สาส์นสวรรค์. (ห้องสมุดดิจิทัลวัชรญาณ)

กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม. แหม่มแอนนา เล่าเรื่องเจ้าจอมในพระปิ่นเกล้าฯ ส่วนใหญ่เป็นหญิงลาว ชี้ สวย-ละมุนกว่าไทย. 15 มีนาคม 2562. จาก https://www.silpa-mag.com/history/article_29355


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 31 มีนาคม 2568