27 ปี รัชกาลที่ 3 ครองราชย์ เกิดอะไรขึ้นบ้างในประวัติศาสตร์โลก?

สงครามฝิ่น 27 ปี รัชกาลที่ 3 ครองราชย์ 27 ปี รัชกาลที่ 3 ครองราชย์
วันที่ 7 มกราคม ปี 1841 เรือของอังกฤษที่มีอาวุธทันสมัยกว่า จมเรือของฝ่ายจีนในสงครามฝิ่น ครั้งที่ 1 (ภาพ : Edward Duncan, Public domain, via Wikimedia Commons)
คริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นช่วงที่โลกอยู่ในยุคล่าอาณานิคม ทั้งยังเป็นยุคที่การปฏิวัติอุตสาหกรรมก้าวหน้า แล้วตลอดระยะเวลา 27 ปี รัชกาลที่ 3 ครองราชย์ คือระหว่าง พ.ศ. 2367-2394 (ค.ศ. 1824-1851) เกิดอะไรขึ้นบ้างบนโลกใบนี้?

27 ปี รัชกาลที่ 3 ครองราชย์ เกิดอะไรขึ้นบ้างบนโลกใบนี้?

จะว่าไปแล้ว การล่าอาณานิคมและการพัฒนาอุตสาหกรรมในซีกโลกตะวันตกไม่ใช่เรื่องที่แยกจากกันอย่างเด็ดขาด เพราะชาติมหาอำนาจตะวันตก อย่าง อังกฤษ เนเธอร์แลนด์ (ดัตช์) ฝรั่งเศส ฯลฯ ต่างต้องการทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ในดินแดนอื่น เพื่อมาป้อนความต้องการทั้งการใช้ชีวิตและเศรษฐกิจการค้าของประเทศตัวเอง

เมื่อคนพร้อม ทรัพยากรพร้อม ก็เป็นปัจจัยหนุนให้การพัฒนาอุตสาหกรรมและการพัฒนาวิทยาศาสตร์-เทคโนโลยี เป็นไปได้สะดวกมากขึ้น ขณะเดียวกัน ชาติที่ตกเป็นอาณานิคมก็กลายเป็นตลาดระบายสินค้าไปด้วย

โลกในศตวรรษที่ 19 มีหลากหลายเหตุการณ์ที่เป็นหมุดหมายสำคัญ ขอหยิบยกมาบอกเล่ากันสัก 5 เรื่อง ดังนี้

หมู่เกาะเครื่องเทศ อินโดนีเซีย 27 ปี รัชกาลที่ 3 ครองราชย์
หมู่เกาะเครื่องเทศหรือหมู่เกาะโมลุกกะ (สีเหลือง) (ภาพ: Wikimedia Commons)

ค.ศ. 1825 “สงครามชวา”

ชาติตะวันตกหลายชาติเข้ามาเกี่ยวข้องพัวพันกับอินโดนีเซียมาหลายร้อยปีแล้ว เพราะเป็นที่ตั้งของหมู่เกาะเครื่องเทศ แต่ในปี 1815 อินโดนีเซียอยู่ใต้การปกครองของดัตช์ หลังจากนั้นด้วยปัจจัยหลายประการ อย่างการยกเลิกสัญญาเช่าที่ดินซึ่งกระทบทุกชนชั้น ชาวพื้นเมืองในรัฐต่างๆ ของอินโดนีเซีย โดยเฉพาะในจอกจาการ์ตาจึงไม่พอใจ กลายเป็นชนวนให้เกิดสงครามขึ้นตั้งแต่ปี 1825-1830

สงครามชวา นำโดย “ดิโปนิโกโร” เจ้าชายแห่งจอกจาการ์ตา ที่เกลียดชังฮอลันดาเป็นการส่วนตัว เพราะฮอลันดาเพิกเฉยต่อสิทธิการขึ้นครองบัลลังก์ของพระองค์ ซึ่งเป็นสัญญาที่ทำขึ้นตั้งแต่สมัยบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษมีอิทธิพลเหนืออินโดนีเซีย สงครามนี้ทำให้ฮอลันดาสูญเสียเงินไปเป็นจำนวนมาก ขณะที่ชาวอินโดนีเซียก็เสียชีวิตไปถึงกว่า 200,000 คน

ค.ศ. 1826 “สนธิสัญญาเบอร์นีย์”

คนไทยน่าจะคุ้นชื่อกันอยู่บ้าง สนธิสัญญาเบอร์นีย์ (Burney Treaty) เป็นสนธิสัญญาที่สยามลงนามกับอังกฤษ เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน ปี 1826 (พ.ศ. 2369) ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) สนธิสัญญาฉบับนี้ตั้งชื่อตาม ร้อยเอก เฮนรี เบอร์นีย์ (Henry Burney) นักการทูตอังกฤษของบริษัทอินเดียตะวันออก ที่เข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีและเป็นตัวแทนรัฐบาลอังกฤษทำสนธิสัญญา

ความสำคัญของสนธิสัญญาฉบับนี้ คือ เป็นสนธิสัญญาทางพระราชไมตรีและการพาณิชย์ฉบับแรก ที่สยามทำกับชาติตะวันตกในยุครัตนโกสินทร์

เบื้องหลังการทำสนธิสัญญา มีปัจจัยหนุนจากการขยายอิทธิพลของอังกฤษในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะในปี 1824 อังกฤษซึ่งขณะนั้นรุกคืบเข้าครอบครองอินเดียแล้ว ได้ขยับเข้าไปทำสงครามกับพม่าเป็นครั้งแรก หลังผ่านไป 2 ปี ผลลัพธ์ก็จบลงด้วยความพ่ายแพ้ของฝ่ายหลัง สยามจึงต้องป้องกันไม่ให้เกิดความขัดแย้งใดๆ ที่จะทำให้อังกฤษหาเหตุรุกรานสยามได้

สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย พระนางวิกตอเรียขอเจ้าดารารัศมีเป็นบุตรบุญธรรม 27 ปี รัชกาลที่ 3 ครองราชย์
สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียแห่งสหราชอาณาจักร (ภาพ : Wikimedia Commons)

ค.ศ. 1837 สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียครองราชย์

สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย (Queen Victoria ประสูติ ค.ศ. 1819 สวรรคต ค.ศ. 1901) ทรงขึ้นครองราชบัลลังก์ขณะพระชนมายุ 18 พรรษา ซึ่งนอกจากทรงปกครองสหราชอาณาจักรแล้ว พระองค์ยังทรงเป็น “จักรพรรดินีนาถแห่งอินเดีย” ด้วยอีกตำแหน่ง

ตลอดรัชสมัยของพระองค์ที่ยืนยาวถึง 63 ปี อังกฤษขึ้นชื่อว่าเจริญรุ่งเรืองอย่างยิ่ง ขณะเดียวกัน พระราชโอรสทั้ง 9 พระองค์ที่ประสูติแต่เจ้าชายอัลเบิร์ตก็ทรงเสกสมรสกับราชวงศ์ต่างๆ ในยุโรป ทำให้สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียทรงได้รับพระสมัญญานามว่า “สมเด็จย่าแห่งยุโรป”

ค.ศ. 1838 เรือ “เอสเอส เกรต เวสเทิร์น” ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก

เอสเอส เกรต เวสเทิร์น (SS Great Western) ของบริษัท เกรต เวสเทิร์น สตรีมชิป (Great Western Steamship Company) เป็นเรือจักรไอน้ำลำแรกที่สร้างขึ้นเพื่อข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกโดยเฉพาะ เดินทางจากเมืองบริสตอล ทางตะวันตกเฉียงใต้ของอังกฤษ ไปยังมหานครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ภายในเวลา 15 วันครึ่ง นับเป็นความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีการเดินเรืออย่างมากในยุคนั้น

ค.ศ. 1839 “สงครามฝิ่น” ครั้งที่ 1

สงครามฝิ่นมีเค้าลางจากการความขัดแย้งระหว่างจีนสมัยราชวงศ์ชิงกับอังกฤษ ที่ต้องการให้จีนเปิดการค้าเสรี แต่จีนไม่ยอม ทำให้บริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษขาดทุน

ต่อมา อังกฤษมองเห็นลู่ทางการค้าสินค้าชนิดใหม่ นั่นก็คือ “ฝิ่น” ซึ่งปลูกมากในอินเดีย ดินแดนอาณานิคมของอังกฤษ อังกฤษจึงเริ่มนำฝิ่นปริมาณมหาศาลเข้าไปจำหน่ายในจีน คนจีนนับล้านๆ คนเริ่มติดฝิ่น รัฐบาลจีนจึงต้องเข้ามาจัดการ

อังกฤษ สงครามฝิ่น 27 ปี รัชกาลที่ 3 ครองราชย์
กองทัพอังกฤษขณะระดมยิงกวางตุ้งจากที่สูงในสงครามฝิ่น ครั้งที่ 1 (ภาพ : Edward H. Cree, Public domain, via Wikimedia Commons)

หลินเจ๋อสวี ข้าราชการชาวจีน ยึดฝิ่นจำนวน 20,000 ลังที่กวางตุ้ง อังกฤษไม่พอใจมากจึงเข้ายึดกวางตุ้ง และขู่ว่าจะทำลายเมืองนานกิง

สงครามฝิ่นกินเวลาราว 3 ปี จบลงด้วยความปราชัยของจีน นำสู่การเกิด “สนธิสัญญานานกิง” ปี 1842 ถือเป็นสนธิสัญญาที่ไม่เสมอภาค เพราะจีนต้องยกเลิกการค้าผูกขาด ลดภาษีนำเข้าจนต่ำเตี้ย ต้องจ่ายค่าชดเชยให้อังกฤษ รวมทั้งต้องมอบเกาะฮ่องกงให้อังกฤษด้วย

ส่วนสงครามฝิ่น ครั้งที่ 2 เกิดขึ้นในปี 1856-1860 หนึ่งในผู้มีบทบาทคือ เซอร์ จอห์น เบาว์ริง (Sir John Bowring) ชาวอังกฤษที่เข้ามาเจรจาทำ “สนธิสัญญาเบาว์ริง” (Bowring Treaty) กับสยามในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) นั่นเอง

เห็นได้ว่าตลอดระยะเวลา 27 ปี รัชกาลที่ 3 ครองราชย์ เหตุการณ์ที่ยกมาข้างต้นล้วนเกี่ยวพันกับการล่าอาณานิคมและการพัฒนาอุตสาหกรรม ไม่นับอีกร้อยพันเหตุการณ์ในช่วงเวลาดังกล่าวที่เกิดขึ้นทั่วโลก ที่เชื่อมโยงกับประเด็นเหล่านี้

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


อ้างอิง :

ดีเค ทีม, เขียน. ธาม โสธรประภากร, แปล. Timelines of World History ร้อยพันเรื่องราวประวัติศาสตร์โลก. กรุงเทพฯ : มติชน, 2567.

มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์. การฟื้นฟูระบบการปกครองของฮอลันดาในอินโดนีเซีย และระบบการเพาะปลูก ค.ศ. 1816-ค.ศ. 1848.


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 12 มีนาคม 2568