ช้างเผือก สัตว์คู่พระบารมี ตลอด 200 กว่าปีมานี้ รัชกาลใดที่ไม่มีช้างเผือก

ช้างเผือก
"ช้างเผือก" ในภาพจิตรกรรมวัดขุนตรา จังหวัดเพชรบุรี (ภาพจาก https://museum.socanth.tu.ac.th)

“ช้างเผือก” เป็นช้างมงคลช้างที่หาได้ยาก ด้วยมีลักษณะพิเศษ นอกจากสีของผิวที่เป็นสีขาว สีของเล็บ, ขน, ตา, ขนหางก็เป็นสีขาวด้วย เป็นต้น ซึ่งต้องให้ผู้ที่มีความรู้โดยเฉพาะวิเคราะห์ จึงจะบอกได้ว่าเป็นช้างมงคล หรือแค่ “ช้างสีประหลาด” 

“ความเผือก” ในทางวิทย์-ทางความเชื่อ

ทางชีววิทยา ช้างชนิดนี้เกิดจากยีนด้อย ที่ส่งผลให้ไม่มีเอนไซม์เมลาโนไซท์ ไทโรซิเนส ขาดการสร้างเม็ดสี ทำให้เกิดภาวะผิวเผือก หากเกิดภาวะเผือกแบบสมบูรณ์ ช้างตัวนั้นจะมีผิวขาวอมชมพู มีเส้นขนและเล็บขาว และไม่มีเม็ดสีในม่านตา จนสะท้อนให้เห็นเป็นตาสีแดงทับทิม แต่ในไทย, พม่า และศรีลังกา ส่วนใหญ่เป็นภาวะเผือกไม่สมบูรณ์ คือ แค่มีสีตัวอ่อนกว่าช้างทั่วไป เล็บและขนสีขาว ม่านตาสีฟ้าหรือสีเทา ฯลฯ

เพนียดคล้องช้างอยุธยา ภาพจากหนังสือ "Travels in the Central Parts of Indo-China..." (1864) โดย อ็องรี มูโอ
เพนียดคล้องช้างอยุธยา ภาพจากหนังสือ “Travels in the Central Parts of Indo-China…” (1864) โดย อ็องรี มูโอ

ทางความเชื่อ ตามคติในคัมภีร์ไตรภูมิโลกวินิจฉยกถา ถือเป็นหนึ่งในเครื่องแสดงบุญญาบารมีของพระมหากษัตริย์ 7 ประการ คือ จักรแก้ว, ช้างแก้ว, ม้าแก้ว, ขุนพลแก้ว, ขุนคลังแก้ว, นางแก้ว และดวงแก้ว ในอดีตคนไทยเชื่อว่า ช้างชนิดนี้เป็นสัตว์สำคัญคู่บ้านเมือง หากพบช้างเผือกในรัชกาลของพระมหากษัตริย์องค์ใด แสดงว่าพระองค์ทรงมีบุญญาภินิหาร บารมีพระเกียรติจะแผ่ไพศาลไปทั่วทุกทิศ

เมื่อได้ช้างดังกล่าวก็จะมีพิธีการต่างๆ เช่น สมัยรัชกาลที่ 2 เมื่อพระยาอภัยภูเบศร เจ้าเมืองพระตะบอง กราบบังคมทูลว่าพบช้างมงคล ก็โปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นเทพพลภักดิ์ และเจ้าพระยาศรีธรรมาธิราช เดินทางไปรับช้าง เมื่อช้างมาถึงบ่อโพง จึงโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ (ต่อมาคือรัชกาลที่ 3) นำเงินไปพระราชทานหมอควาญและผู้คุมช้าง 10 ชั่ง

ทั้งพระราชทานนามแก่ช้างว่า “พระยาเศวตรกุญชร อดิศรประเสริฐศักดิ์ เผือกเอกอรรคไอยรา มงคลพาหนนารถ บรมราชจักรพรรดิ วิเชียรรัตนาเคนทร์ ชาติคเชนทร์ฉัททันต์ หิรัญรัศมีศรีพระนคร สุนทรลักษณเลิศฟ้า” และทำพิธีขึ้นระวางสมโภชช้าง

ช้างเผือกในราชวงศ์จักรี 

พระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรีที่มีช้างมงคล สรุปได้ดังนี้

รัชกาลที่ 1 มี 2 ช้าง คือ 1. พระอินทรไอยราฯ คล้องได้ที่เมืองภูเขียว 2. พระเทพกุญชรฯ คล้องได้ที่เมืองภูเขียว

รัชกาลที่ 2 มี 3 ช้าง คือ 1. พระยาเศวตรกุญชรฯ คล้องได้ที่ทุ่งยั้ง ปลายน้ำเมืองโพธิสัตว์ ขึ้นระวางสมโภช พ.ศ. 2355 2. พระยาเศวตรไอยราฯ คล้องได้ในป่าแขวงเมืองเชียงใหม่ 3. พระยาเศวตรคชลักษณ์ฯ คล้องได้ในป่าแขวงเมืองน่าน

รัชกาลที่ 4 มี 5 ช้าง คือ 1. พระวิมลรัตนกริณีฯ คล้องได้ที่ป่าชมาดชบา แขวงท่าลัด เมืองยโสธร 2. พระมหาศรีเศวตวิมลวรรณฯ คล้องได้ที่เขาจองแมว แขวงชมาดชบา 3. ช้างพังเผือกโท คล้องได้ที่ป่าชมาดชบา (แต่เป็นไข้ล้มเสียก่อนไม่ทันขึ้นระวาง) 4. พระเศวตสุวรรณาภาพรรณฯ คล้องได้ที่บ้านชมาดชบา แขวงระแด 5. ช้างเผือกเอก คล้องได้ที่บ้านนา แขวงนครนายก (หลังมีมหรสพสมโภชก็ป่วยและล้ม)

รัชกาลที่ 5 มี  13 ช้าง คือ 1. พระเศวตสุวภาพรรณฯ คล้องได้ที่ป่าชมาดชบา ตำบลกระแจะ แขวงระแด 2. พระเทพคชรัตนกิริณีฯ คล้องได้ที่ดงฉมาดฉบา แขวงระแด 3. พระศรีสวัสดิเศวตวรรณฯ แขวงระแด 4. พระเศวตวรลักษณ์ฯ คล้องได้ที่ป่าดงกระมุง แขวงเมืองสมบุกสมบุญ 5. พระเศวตวรสรรพางค์ฯ คล้องได้ที่เพนียดอยุธยา 6. พระเศวตวิสุทธิเทพา คล้องได้ที่ดงชมาดชบา

7. พระเศวตสุนทรสวัสดิ์ฯ คล้องได้ที่ป่าร่อนสวาทจงสระ แขวงเมืองกาญจนดิษฐ์ 8. พระเศวตสกลวรภาศฯ  คล้องได้ที่ป่าเขาวงศ์ ป่าชมาดชบา แขวงระแด 9. พระเศวตรุจิราภาพรรณฯ คล้องได้ที่แขวงระแด 10. พระเศวตวรนาเคนทร์ฯ คล้องได้ที่เขตแดนระหว่างเมืองเชียงแตงกับเมืองสมบูรณ์ แถวเขาชบา 11. ช้างพลายเผือกเอก คล้องได้ที่ดงชมาดชบา (ยังไม่ได้พระราชทานนาม ช้างล้มเสียก่อน) 12. พระศรีเศวตวรรณิภาฯ คล้องได้ที่ป่าห้วยกระจะ เมืองอัตปือ 13. พระเศวตอุดมวารณ์ บ้านทุ่งปาย นครลำปาง

รัชกาลที่ 6 มี 1 ช้าง คือ พระเศวตวชิรพาหะฯ คล้องได้ที่ตำบลเนินโพธิ์ อำเภอเกยชัย จังหวัดนครสวรรค์

รัชกาลที่ 7 มี 1 ช้าง คือ พระเศวตคชเดชน์ดิลกฯ มิสเตอร์ ดี เอฟ แมคฟี ผู้จัดการป่าไม้ บริษัทบอร์เนียว จังหวัดเชียงใหม่ น้อมเกล้าฯ ถวาย

พราหมณ์รดน้ำสังข์พระเศวตคชเดชน์ดิลกที่โรงช้างต้น (ภาพจาก เฟซบุ๊ก : สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ)

รัชกาลที่ 9 มี 10 ช้าง คือ 1. พระเศวตอดุลยเดชพาหนฯ คล้องได้ที่จังหวัดกระบี่ 2. พระเศวตวรรัตนกรีฯ ตกที่บ้านนายแก้ว ปัญญาคง อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ 3. พระเศวตสุรคชาธารฯ เป็นช้างพลัดแม่จากอำเภอรามัญ จังหวัดยะลา 4. พระศรีเศวตศุภลักษณ์ฯ ได้จากป่าพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา 5. พระเศวตสุทธวิลาสฯ พบที่ป่าบริเวณแม่น้ำแควน้อย จังหวัดกาญจนบุรี

6. พระวิมลรัตนกิริณีฯ ได้จากป่าจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 7. พระศรีนรารัฐราชกิริณีฯ เป็นลูกช้างพลัดแม่จากจังหวัดนราธิวาส 8. พระเศวตภาสุรคเชนทร์ฯ ได้จากอำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี 9. พระเทพวัชรกิริณีฯ ได้จากอำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์  10. พระบรมนขทัศฯ ได้จากอำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

รัชกาลที่ 10 มี 1 ช้าง คือ พลายเอกชัย จากศูนย์อนุรักษ์ช้าง ตำบลนาข่า อำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม

ช้างเผือก
พลายเอกชัย ช้างมงคลในรัชกาลที่ 10 (ภาพจา www.khaosod.co.th)

รัชกาลที่ไม่มีช้างมงคล 

คงเหลือเพียง 2 รัชกาล ที่ไม่มีช้างมงคล คือ รัชกาลที่ 3 และรัชกาลที่ 8 (เสด็จสวรรคตก่อนบริหารราชการแผ่นดิน)

สมัยรัชกาลที่ 3 พบแต่ช้างสีประหลาด 20 ช้าง ดังที่ทรงตรัสว่า “จะหาช้างสำคัญสักช้างหนึ่งก็ไม่ใคร่จะได้เอาเลย จะได้ก็เป็นแต่สีประหลาดบ้างเล็กน้อย” ครั้นเมื่อพบช้างที่ผิวหนังสีขาว ก็ต้องมีส่วนอื่น เช่น ตา, เล็บ,ขน ฯลฯ มีสีดำ

รัชกาลที่ 3 ทรงรอให้พบช้างมงคลมายาวนาน เมื่อทรงครองราชย์ประมาณ 20 ปี ก็มีรายงานว่าพบช้างเผือกที่เมืองเชียงใหม่ พระองค์ก็มิได้ทรงสนพระราชหฤทัยจะรับช้างนั้นมาสมโภชเหมือนครั้งก่อน ซึ่งหลังโปรดเกล้าฯ ให้สมโภชไม่นานก็ล้ม

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


อ้างอิง :

สุธาสินี บ่าศาลา. เศวตคชลักษณ์ ตำนานช้างเผือกแห่งเมืองสยามประเทศ, ไม่ระบุปีที่พิมพ์ และผู้จัดพิมพ์

https://www.nlt.go.th/service/1565

จริยา นวลนิรันดร์. “พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว : องค์จักรพรรดิราชผู้ปราศจากช้างเผือก” ใน ศิลปวัฒนธรรม ฉบับพฤษภาคม 2554

ผู้เขียน (ไม่ได้ระบุ). “ตรวจคชลักษณ์ ‘พลายเอกชัย’ ตามตำราช้างเผือก เจ้าของปีติพร้อมน้อมเกล้าฯ ถวาย” ใน, https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_2210309


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 11 มีนาคม 2568.