ฮาร์วีย์ มิลค์ นักการเมืองอเมริกาผู้ยืนหยัดในรสนิยมทางเพศ

ฮาร์วีย์ มิลค์ (ภาพจาก : www.history.com)

ฮาร์วีย์ มิลค์ ผู้ยืนหยัดในรสนิยมทางเพศจนได้เป็นนักการเมืองของอเมริกา

ฮาร์วีย์ มิลค์
ฮาร์วีย์ มิลค์ (ภาพจาก : milkfoundation.org)

ช่วงหลายปีที่ผ่านมา หลาย ๆ ท่านคงพบเห็นกระแสสังคม การเรียกร้องสิทธิของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ ซึ่งเมื่อย้อนกลับไป 40-50 ปีที่แล้ว การเรียกร้องเหล่านี้เต็มไปด้วยความยากลำบาก รวมไปถึงสหรัฐอเมริกา ที่ปัจจุบันคนมองว่าเป็นดินแดนแห่งเสรีภาพ แต่มีคนคนหนึ่งที่ยืนหยัดในอัตลักษณ์ของตน จนได้รับเลือกให้เป็นนักการเมืองคนแรกของสหรัฐอเมริกา ซึ่งนิยามตนเองว่าเป็นเกย์ นั่นคือ “ฮาร์วีย์ มิลค์” (Harvey Milk)

ฮาร์วีย์ มิลค์ เกิดวันที่ 22 พฤษภาคม ปี 1930 ที่วูดมีร์ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา (Woodmere, New York, U.S.A) ฮาร์วีย์เกิดในครอบครัวชาวยิว ชนชั้นกลาง ตอนมัธยมเขาศึกษาอยู่ในโรงเรียนมัธยมเบย์ชอร์ (Bayshore high school) และช่วงเวลานี้ ฮาร์วีย์ก็ได้ค้นพบอัตลักษณ์ทางเพศของตัวเองว่าเขาเป็นเกย์

ขณะเรียนอยู่ที่วิทยาลัยครูแห่งรัฐนิวยอร์ก (ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยรัฐในนิวยอร์ก) ฮาร์วีย์เริ่มสนใจประเด็นความหลากหลายทางสังคม เขาได้เขียนคอลัมน์แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ และจบการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยในปี 1951 

หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาตัดสินใจเข้าร่วมกับกองทัพเรือ และรับหน้าที่เป็นครูสอนดำน้ำในฐานทัพซานดิเอโก ช่วงสงครามเกาหลี แต่ต้องลาออกเพราะโดนจับได้ว่าเขามีเพศสัมพันธ์กับทหารชายคนอื่น ๆ 

หลังจากลาออกจากกองทัพเรือ เขาเข้ามาทำงานอื่น ๆ มากมายในนิวยอร์ก เช่น ครูในโรงเรียนมัธยม นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ รวมถึงผู้ช่วยผู้อำนวยการสร้างละครบรอดเวย์

ในปี 1960 จนถึงต้นปี 1970 ฮาร์วีย์มีส่วนร่วมทางการเมืองและเรียกร้องสิทธิมากขึ้น โดยร่วมขบวนต่อต้านสงครามเวียดนาม เพราะชาวอเมริกันไม่พอใจกับการสูญเสียที่เกิดขึ้นจากสงคราม ทั้งงบประมาณที่มาจากภาษี ทั้งทหารจากการไปในสงคราม 

ภาพประกอบเนื้อหา – ผู้ชุมนุมเรือนแสนมารวมตัวกันที่ วอซิงตัน ดี.ซี ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อประท้วงการส่งทหารร่วมสงครามเวียดนามในเดือนตุลาคม พ.ศ.2510 และหลังจากนั้นในเดือนพฤศจิกายน 2512 ก็เกิดการชุมนุมใหญ่อีกครั้งโดยประชาชนกว่าครึ่งล้าน (ภาพจาก AFP)

ฮาร์วีย์เริ่มเบื่อหน่ายชีวิตในนิวยอร์ก จึงย้ายมาอยู่เมืองซานฟรานซิสโก (San Francisco) ในปลายปี 1972 เปิดร้านขายกล้องเพื่อดำรงชีวิตในแถบถนนคาสโทร (Castro Street) ด้วยอารมณ์ขันบวกกับเป็นคนอัธยาศัยดี เขาจึงกลายเป็นที่รักของคนในชุมชน ในระยะเวลาไม่ถึงปี 

ต่อมาในปี 1973 ฮาร์วีย์ประกาศลงสมัครเป็นผู้แทนคณะกรรมการดูแลเมือง แต่น่าเสียดายที่การเลือกตั้งในครั้งนี้ เขาพ่ายแพ้การเลือกตั้ง

แต่เมื่อมีพ่อค้าบางคนในพื้นที่พยายามขัดขวางพ่อค้าชายที่เป็นเกย์ 2 คนไม่ให้ขายของ ฮาร์วีย์และพ่อค้าคนอื่นจึงก่อตั้งสมาคมคาสโทรวิลเลจในปี 1974 เพื่อดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาในพื้นที่มากขึ้น โดยมีฮาร์วีย์เป็นประธานชมรม การจัดตั้งสมาคมประสบความสำเร็จมากจนกลายเป็นฐานอำนาจให้กับพ่อค้าแม่ค้าชาว LGBTQ+ และถือว่าสมาคมนี้เป็นองค์กรแรกของธุรกิจการค้าของชาว LGBTQ+ รวมถึงเป็นต้นแบบด้านการค้าให้กับชุมชน LGBTQ+ อื่น ๆ ในสหรัฐอเมริกา

ในปี 1975 เขาลงสมัครอีกครั้งในตำแหน่งสมาชิกสภาเมืองซานฟรานซิสโก แต่ก็แพ้ไปด้วยคะแนนที่ฉิวเฉียด แม้แพ้การเลือกตั้งครั้งนี้ แต่เขาได้รับเลือกให้เป็นโฆษกทางการเมืองของชุมชนเกย์ 

ปี 1977 จอร์จ มอสโคน (Mayor George Moscone) ที่เป็นทั้งเพื่อนสนิทและนายกเทศมนตรีซานฟรานซิสโก ได้ให้เขาดำรงตำแหน่งคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ท้องถิ่น จากนั้นเขาลงเลือกตั้งเป็นครั้งที่ 3 และคว้าชัยชนะมาได้ โดยขึ้นดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาเมืองซานฟรานซิสโกเมื่อ 9 มกราคม ปี 1978 

จิมมี คาร์เตอร์ ประธานาธิบดีของอเมริการและฮาร์วีย์ (ภาพจาก : page Harvey Milk Foundation)

ทำให้ฮาร์วีย์กลายเป็นนักการเมือง ผู้นิยามตนเองว่าเป็นเกย์คนแรกของสหรัฐอเมริกา?

หลังจากดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาเมืองซานฟรานซิสโก ฮาร์วีย์ไม่เพียงแค่เรียกร้องสิทธิให้กับชาว LGBTQ+ แต่ยังช่วยเหลือคนทุกคนไม่จำกัดเพศ ทั้งจัดตั้งศูนย์ดูแลเด็ก ๆ ที่คุณแม่ต้องไปทำงาน รวมถึงบริการต่าง ๆ ในเมือง อีกทั้งยังพูดถึงปัญหาในระดับรัฐและระดับชาติ เกี่ยวกับผู้หญิง LGBTQ+ ชนกลุ่มน้อยทางเชื้อชาติ ชาติพันธุ์ ชนที่ถูกละเลย

หนึ่งในนั้นคือ การลงคะแนนคัดค้านมาตราที่ 6 ที่จะบังคับให้ครูที่เป็นกลุ่มเพศทางเลือกออกจากโรงเรียนของรัฐ และด้วยเสียงคัดค้านอันแข็งแกร่งของฮาร์วีย์และคนอื่น ๆ ทำให้การลงคะแนนครั้งนี้พ่ายแพ้ไป 

หนึ่งในสุนทรพจน์ของเขาได้พูดเอาไว้ว่า “พวกเราออกมาเพื่อต่อสู้กับคำโกหก ข้อกล่าวหา และการบิดเบือน พวกเราออกมาเพื่อบอกความจริงเกี่ยวกับเกย์ เพราะฉันเบื่อหน่ายกับการสมรู้ร่วมคิดแห่งความเงียบ ฉันจะพูดถึงเรื่องนี้ และฉันต้องการให้คุณพูดถึงมัน คุณต้องออกมา” 

แน่นอนว่ามีคนรัก ก็ย่อมมีคนไม่พอใจกับกลุ่มต่อต้านคนที่มีความหลากหลาย ทำให้เมื่อวันที่  27 พฤศจิกายน ปี 1978 เกิดเหตุการณ์ที่สะเทือนจิตใจของผู้คนในชุมชนเพศหลากหลาย เมื่อมีมือปืนอย่าง แดน ไวท์ ที่ต่อต้านผู้คนที่มีความหลากหลายทางเพศ ได้ลอบสังหารจอร์จ มอสโคน และฮาร์วีย์ มิลค์ ทำให้เขาเสียชีวิตในวัยเพียง 48 ปี เท่านั้น 

ฮาร์วีย์รับรู้ถึงสัญญาณอันตรายเสมอ เนื่องจากได้รับจดหมายข่มขู่ตลอดการดำรงตำแหน่ง จึงได้เขียนพินัยกรรมไว้หลายฉบับ รวมถึงบันทึกเสียงของตนในเทป โดยหนึ่งในเทปที่มีชื่อเสียงของเขามีใจความว่า “ขอให้กระสุนที่ทะลุสมองของฉัน ทำลายประตูตู้เสื้อผ้าทุกบาน” เปรียบเสมือนเมื่อเขาเสียชีวิตลง ขอให้ทุกคนออกมาเปิดเผยตัวตนและใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเพศไหนก็ตาม

แม้ฮาร์วีย์จะเสียชีวิต แต่แนวคิดยังคงอยู่ โดยมี สจวต มิลค์ (Stuart Milk) หลานชายของเขาเป็นผู้สานต่อ เช่น การเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิกลุ่มคนหลากหลายทางเพศ การเมืองที่หลากหลายที่รับกลุ่ม LGBTQ+ เข้ามาอยู่ในการเมืองมากขึ้น 

นอกจากนี้ เรื่องราวในชีวิตของเขายังถูกนำเสนอในภาพยนต์อย่าง “Milk” ในปี 2008 ที่ได้ถูกเสนอชื่อเข้ารับรางวัลออสการ์มากถึง 8 สาขา

ฮาร์วีย์ มิลค์ จึงไม่ได้เป็นเพียงนักการเมือง แต่ยังเปรียบเสมือนฮีโร่ของชุมชน LGBTQ+ และเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้คนทั่วโลกสู้เพื่อความเท่าเทียม เพื่อที่คนเหล่านั้นจะได้ต่อสู้เพื่อสิทธิของตัวเองเหมือนที่ฮาร์วีย์สู้จนนาทีสุดท้ายในชีวิตของตน

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


อ้างอิง :

https://milkfoundation.org/about/harvey-milk-biography

https://www.britannica.com/biography/Harvey-Milk

https://www.biography.com/political-figures/harvey-milk

https://library.law.howard.edu/civilrightshistory/lgbtq/harveymilk


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 23 มกราคม 2568