ผู้เขียน | กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม |
---|---|
เผยแพร่ |
พระเมรุมณฑป พระเมรุที่ใช้ในงานพระศพเจ้านาย และพระสงฆ์ 9 พระองค์/รูป
พระเมรุมณฑป เป็นพระเมรุที่สร้างขึ้นบริเวณวัดบวรสถานสุทธาวาส หรือวัดพระแก้ววังหน้า ใช้ในการพระราชพิธีพระบรมศพ และพระศพเจ้านายในราชวงศ์จักรี หลายพระองค์ รวมถึงพระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่หลายองค์/รูป
แต่เดิมนั้น เมื่อเจ้านายเสด็จสวรรคตหรือสิ้นพระชนม์ มักจะทำการปลูกพระเมรุ ณ ท้องสนามหลวงเพื่อใช้เป็นสถานที่ประกอบพระราชพิธีพระบรมศพ ซึ่งนับเป็นการสิ้นเปลืองพระราชทรัพย์มาก
ครั้นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร พระราชโอรสในรัชกาลที่ 5 เสด็จสวรรคตเมื่อ พ.ศ. 2437 (ปฏิทินปัจจุบันคือ พ.ศ. 2438) รัชกาลที่ 5 มีพระราชประสงค์เปลี่ยนแปลงธรรมเนียมพระราชพิธีพระบรมศพเสียใหม่ โดยเฉพาะการปลูกพระเมรุ โดยมีพระราชดำริว่า
“…โดยราชประเพณีที่มีมาแต่ก่อน เมื่อพระบรมวงษ์ที่ได้ดำรงพระเกียรติยศชั้นสูงสวรรคต ก็ได้เคยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทำพระเมรุมาศขนาดใหญ่ตามพระเกียรติยศ ณ ท้องสนามหลวง เพื่อเชิญพระศพไปประดิษฐานพระราชทานเพลิง ณ พระเมรุมาศนั้น
ก็การทำพระเมรุมาศขนาดใหญ่เช่นเคยมานั้น เปนการเปลืองพระราชทรัพย์ไป ในสิ่งซึ่งมิได้ถาวร แลมิได้เปนประโยชน์สืบเนื่องไปนาน เปนการลำบากแก่คนเป็นอันมาก แลได้ประโยชน์ชั่วสมัยหนึ่ง แล้วก็อันตรธานไป
ครั้งนี้มีสมัยที่จะต้องทำการพระเมรุมาศขนาดใหญ่นั้นขึ้น ควรจะน้อมการทำพระเมรุมาศนั้น มารวมลงในการพระราชกุศล ส่วนสาสนูปถัมภกิจ วิทยาทาน วิหารทาน….จึ่งมีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ ดำรัสสั่งให้พระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนนริศรานุวัดติวงษ เปนผู้บัญชาการให้เจ้าพนักงานทำการก่อสร้างวิทยาลัยยอดปรางค์ 3 ยอด ล้วนแล้วด้วยถาวรภัณฑ์…
เพื่อได้เปนที่เชิญพระบรมศพสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร มาประดิษฐาน บำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณาทานมีการมหกรรมแล้ว จะได้เชิญพระบรมศพ ไปประดิษฐาน ณ พระเมรุมาศขนาดน้อย ณ ท้องสนามหลวง พระราชทานเพลิง เมื่อการบำเพ็ญพระราชกุศลส่วนนั้นเสร็จแล้ว จะได้ทรงพระราชอุทิศถวายถาวรวัตถุนี้ เปนสังฆิกเสนาสน์สำหรับมหาธาตุวิทยาลัย เพื่อเปนที่เล่าเรียนพระปริยัติสัทธรรม แลวิชาชั้นสูงสืบไปภายน่า…”

ในเบื้องต้นนั้น รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างอาคาร (ปัจจุบันคือ ตึกถาวรวัตถุ หรือตึกแดง) ตั้งอยู่หน้าวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ เพื่อประดิษฐานพระบรมศพสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร โดยเริ่มก่อสร้างเดือนเมษายน พ.ศ. 2438 แต่การก่อสร้างล่าช้า เนื่องจากรอวัสดุเช่น กระเบื้องมุงหลังคา ที่สั่งมาจากเมืองจีน จึงเปลี่ยนไปสร้างสถานที่ประดิษฐานพระบรมศพที่อื่นแทน
รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระภาณุพันธุวงศ์วรเดช เป็นแม่กอง และสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนนริศรานุวัดติวงศ์ กำกับกรมโยธาธิการ ให้ซ่อมแปลงพระอุโบสถวัดบวรสถานสุทธาวาส เป็นสถานที่ประดิษฐานพระบรมศพสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร เรียกว่า “พระเมรุพิมาน”

ส่วนการพระราชทานเพลิงนั้น รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้พระราชโยธาเทพ (กร หงสกุล) คิดแบบพระเมรุทองยอดมณฑป เครื่องยอด 7 ชั้น ที่เฉลียงมีเสารอบ ยกพื้นสูง มีซุ้มทางเข้าโค้งยอดแหลมสี่ด้าน บริเวณโดยรอบมีการตกแต่งอาคารอย่างพระเมรุมาศ ณ ท้องสนามหลวงเหมือนสมัยโบราณ เรียกว่า “พระเมรุมณฑป” ตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าวัดบวรสถานสุทธาวาส
พระเมรุมณฑปนี้ใช้ในการพระราชพิธีพระบรมศพ และพระศพเจ้านายในราชวงศ์จักรี รวมถึงพระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ รวม 9 พระองค์/องค์/รูป ตามลำดับคือ
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์, สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร, สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าสมมติวงศ์วโรทัย กรมขุนศรีธรรมราชธำรงฤทธิ์, สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าศิราภรณ์โสภณ, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมสมเด็จพระสุดารัตนราชประยูร, สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี กรมพระจักรพรรดิพงษ์, สมเด็จพระสังฆราช (สา), สมเด็จพระพุฒาจารย์ (หม่อมเจ้าทัต เสนีวงศ์) และสมเด็จพระวันรัต (แดง)
การสร้างพระเมรุในลักษณะเช่นนี้ สะท้อนความคิดที่เปลี่ยนไป โดยเน้นความประหยัด และใช้งานอย่างคุ้มค่า ให้เหมาะสมกับสภาพบ้านเมืองที่กำลังเข้าสู่ความศิวิไลซ์

อ่านเพิ่มเติม :
อ้างอิง :
สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์, กรมศิลปากร. “พระเมรุมาศสมัยรัตนโกสินทร์”, 2561
นนทพร อยู่มั่งมี, “สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้ากับความทุกข์ในพระราชหฤทัย” ใน, ศิลปวัฒนธรรม. ปีที่ 44 : ฉบับที่ 5
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 15 มกราคม 2568