“เหตุล่มสลาย” ของเขมรโบราณที่ยิ่งใหญ่ คืออะไร?

ปราสาทนครวัด นครวัด กัมพูชา เขมร สมัย พระนคร สร้างโดย พระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 เหตุล่มสลาย
ภาพวาดนครวัดจากหนังสือ Voyage d'exploration en Indo-Chine เมื่อ ค.ศ. 1866

ยุครุ่งเรืองของ “เขมรโบราณ” เริ่มต้นในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 (พ.ศ. 1345-95) ถึงสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 (พ.ศ. 1724-62) รวม 417 ปี โดยยุคที่รุ่งเรืองที่สุดคือ สมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 (พ.ศ. 1656-93) ถึงสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 แต่อาณาจักรแห่งนี้ก็หนีไม่พ้น “เหตุล่มสลาย”

ความยิ่งใหญ่ของเขมรโบรารณ มีหลักฐานที่ยืนยันหลายรายการ เช่น การสร้าง นครวัด, นครธม, บาราย (อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่), อโรคยศาลา ฯลฯ ที่แสดงถึงความสามารถทางภูมิปัญญาและความมั่งคั่งของเขมรโบราณ แต่แล้วเมืองเขมรโบราณก็มีเหตุล่มสลาย ด้วยปัจจัยต่างๆ ดังนี้

1. การก่อสร้างขนาดใหญ่จำนวนมาก 

สมัยรุ่งเรืองของเขมรโบราณ เกิดการก่อสร้างใหญ่จำนวนมาก มี “ปราสาทหิน” ขนาดใหญ่และสำคัญ 28 แห่ง สร้างขึ้นถวายแด่เทพที่กษัตริย์และชนชั้นสูงเขมรยุคนั้นนับถือ ยังไม่รวมสิ่งก่อสร้างขนาดเล็ก เช่น อโรคยศาลา 102 แห่ง และที่พักริมทางอีก 121 แห่ง

ทั้งหมดนี้ใช้วัสดุก่อสร้าง, แรงงาน ฯลฯ มหาศาล ขณะนั้นคงไม่ต้องจ่ายค่าแรง แต่แรงงานไพร่ซึ่งเป็นชาวนา ยิ่งสร้างปราสาทหินมากเท่าไร แรงงานที่จะไปทำการเพาะปลูกพืชอาหารก็ลดลงเท่านั้น

หลังก่อสร้างก็ยังต้องมีการดูแล ซึ่งศิลาจารึกที่ปราสาทตาพรหม ของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 บันทึกการใช้แรงงานเพื่อดูแลปราสาทตาพรหม ปราสาททรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส ยาวด้านละ 48 เมตร ระบุว่า มีคน 79,344 คน หมุนเวียนกันมาดูแลปราสาทนี้ มีพระเถระ 18 รูป และขุนนาง 2,740 คน ดูแลคนและพิธีกรรมสำหรับปราสาทนี้

เหตุล่มสลาย
ปราสาทตาพรหม ตั้งอยู่ห่างออกจากเมืองพระนคร ไปทางทิศตะวันออกประมาณ 1 กิโลเมตร สร้างขึ้นในรัชสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7

2. สงครามกับเพื่อนบ้าน 

เขมรโบราณ เป็นดินแดนที่อยู่ตรงกลาง ด้านตะวันออก ขนาบด้วย อาณาจักรจามปา และเวียดนาม ด้านตะวันตก เดิมถูกขนาบด้วยอาณาจักรทวารวดี ต่อมาก็เป็นอาณาจักรหริภุญชัยของมอญ และต่อมาก็คือ อาณาจักรสุโขทัยและอาณาจักรอยุธยา

ความใกล้ชิดของดินแดนกับความแตกต่างของชาติพันธุ์ ทำให้เขมรกระทบกระทั่งกับเพื่อนบ้านจนกลายเป็นสงครามได้

เฉพาะสงครามเขมรสมัยโบราณกับเพื่อนบ้านทางตะวันออก ช่วง พ.ศ. 1487-1746 มีสงคราม 8 ครั้ง รบกับเวียดนาม 1 ครั้ง, รบกับจาม 6 ครั้ง และรบกับจามและเวียดนาม 1 ครั้ง โดยสงครามเขมรกับจามเป็นสงครามที่สำคัญ เพราะทำให้ทั้ง 2 ฝ่ายต้องบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก ทั้งจากอาวุธและจากไข้ป่า อันเป็นเหตุล่มสลายของอาณาจักร

เหตุล่มสลาย
ภาพสลักทหารจากสยามในการเดินทางสวนสนามที่ปรากฏในนครวัด

3. ขาดการทะนุบำรุงระบบชลประทาน

มีการสร้างบาราย และมีระบบส่งน้ำจากเทือกเขาพนมกุเลน แม่น้ำเสียมเรียบและสาขาต่างๆ มาเก็บไว้ จากนั้นก็มีประตูระบายเข้าไปเลี้ยงพื้นที่นา ทำให้การผลิตข้าวของเขมรมีเสถียรภาพดีมาก

แต่สงครามทำให้ระบบชลประทานขาดการดูแล คลองส่งน้ำจากบารายสู่พื้นที่นา รวมทั้งฝายทดน้ำตื้นเขิน ส่งผลให้ประสิทธิภาพระบบชลประทานลดลง เกิดน้ำขัง เกิดแหล่งเพาะยุง นำมาซึ่งไข้มาลาเรีย การขาดแคลนน้ำนำไปสู่อหิวาตกโรคระบาด ทำให้ประชากรลดลงไปอีกอย่างเป็นกระบวนการวัฏจักร

4. ปรากฏการณ์เอลนีโญ 

ในช่วง พ.ศ. 1904-35 และ 1959-83 เกิดฝนแล้งถึง 56 ปี การทำนาไม่ได้ผล คนจำนวนมากอพยพหนีการอดตายไปอยู่ที่อื่น ยิ่งทำให้เขมรขาดทั้งกำลังการผลิตอาหารและขาดกำลังทหาร

ข้อมูลนี้มาจากนักวิทยาศาสตร์ที่ใช้วิธีนับวงปีของต้นไม้ อายุ 900 ปี ในพื้นที่ตอนเหนือของนครธม ที่เคยมีชีวิตอยู่ในขณะอาณาจักรเขมรกำลังรุ่งเรืองมาจนล่มสลาย รายงานนี้ได้ย้ำให้เห็นถึงความล้มเหลวของระบบชลประทาน ประกอบกับการเปลี่ยนทางเดินของแม่น้ำเสียมเรียบ ที่ปกติไหลลงบารายตะวันตก ได้เปลี่ยนทางเดินไปที่อื่น ทำให้น้ำในบารายเหลือน้อยเต็มที

5. การสร้างและย้ายเมืองหลวงบ่อยเกินไป

เวลา 417 ปี ของเขมรโบราณยุครุ่งเรือง มีเมืองหลวงถึง 8 เมือง ได้แก่ 1. อินทราปุระ สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 2. มหินทราปุระ สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 3. หริหระลายา สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 4. ยโศธรปุระ สมัยพระเจ้ายโสวรมันที่ 1 5. เกาะแกร์ พระเจ้าชัยวรมันที่ 4 6. บึงมาลา สมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 7. นครวัด สมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 8. นครธม สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7

เหตุล่มสลาย
นครวัด (ภาพจาก หนังสือ : Voyage d’exploration en Indo-Chine effectue )

การสร้างเมืองหลวงทั้งหมดนั้นใช้ทรัพยากรมหาศาล เมื่อสร้างเสร็จก็ต้องย้ายเชื้อพระวงศ์ ขุนนาง ข้าราชการ ตลอดจนทหารมาอยู่เมืองใหม่ คนที่น่าจะเดือดร้อนที่สุดน่าจะเป็นชาวนาที่ถูกเกณฑ์ไปตั้งรกรากในเมืองใหม่ ต้องทิ้งที่นาของตนไปบุกเบิกป่าให้เป็นนา

6. ศาสนา

เดิมชาวเขมรนับถือผี ต่อมาเมื่อผู้นำเขมรหันไปนับถือศาสนาฮินดู เริ่มมีการสร้างปราสาทหิน เป็นที่ประทับของเทพเจ้า เพื่อให้พระเจ้าพอใจ จึงต้องมีเครื่องเซ่นสังเวยไปบูชา แม้พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ได้หันมานับถือพุทธนิกายมหายาน แต่กษัตริย์ที่สืบต่อจากพระองค์ก็กลับไปนับถือฮินดู

ขณะที่ชาวเขมรเริ่มนับถือศาสนาพุทธลัทธิเถรวาท ที่เน้นการไปสู่ภาวะนิพพาน ได้รับความนิยมจากชาวบ้านเขมรอย่างรวดเร็ว เพราะไม่ต้องสร้างปราสาท มีเพียงกุฏิไม้ง่ายๆ ไม่ต้องเซ่นสังเวยบูชาทุกวัน จึงมีเวลาทำมาหากินและอยู่กับครอบครัว

เกิดความขัดแย้งระหว่างชนชั้นปกครอง-ชาวบ้าน ประกอบกับความอดอยากล้มตายจากปัญหาภัยแล้ง ทำให้สังคมเขมรปั่นป่วน และประชากรส่วนหนึ่งอพยพไปอยู่ที่อื่น

สุดท้าย ความรุ่งโรจน์ของเขมรโบราณก็เป็นปัจจัยหลายข้อของ “เหตุล่มสลาย” ของตัวมันเอง ปิดฉากของความรุ่งเรืองของอาณาจักรเขมรโบราณ

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


อ้างอิง : 

ศ. สุวิทย์ ธีรศาศวัต. “ความรุ่งเรืองและความล่มสลายของอาณาจักรเขมรโบราณ” ใน, ศิลปวัฒนธรรม  มีนาคม 2567.


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 3 มกราคม 2567