ผู้เขียน | วิภา จิรภาไพศาล |
---|---|
เผยแพร่ |
ยุครุ่งเรืองของ “เขมรโบราณ” เริ่มต้นในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 (พ.ศ. 1345-95) ถึงสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 (พ.ศ. 1724-62) รวม 417 ปี โดยยุคที่รุ่งเรืองที่สุดคือ สมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 (พ.ศ. 1656-93) ถึงสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 แต่อาณาจักรแห่งนี้ก็หนีไม่พ้น “เหตุล่มสลาย”
ความยิ่งใหญ่ของเขมรโบรารณ มีหลักฐานที่ยืนยันหลายรายการ เช่น การสร้าง นครวัด, นครธม, บาราย (อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่), อโรคยศาลา ฯลฯ ที่แสดงถึงความสามารถทางภูมิปัญญาและความมั่งคั่งของเขมรโบราณ แต่แล้วเมืองเขมรโบราณก็มีเหตุล่มสลาย ด้วยปัจจัยต่างๆ ดังนี้
1. การก่อสร้างขนาดใหญ่จำนวนมาก
สมัยรุ่งเรืองของเขมรโบราณ เกิดการก่อสร้างใหญ่จำนวนมาก มี “ปราสาทหิน” ขนาดใหญ่และสำคัญ 28 แห่ง สร้างขึ้นถวายแด่เทพที่กษัตริย์และชนชั้นสูงเขมรยุคนั้นนับถือ ยังไม่รวมสิ่งก่อสร้างขนาดเล็ก เช่น อโรคยศาลา 102 แห่ง และที่พักริมทางอีก 121 แห่ง
ทั้งหมดนี้ใช้วัสดุก่อสร้าง, แรงงาน ฯลฯ มหาศาล ขณะนั้นคงไม่ต้องจ่ายค่าแรง แต่แรงงานไพร่ซึ่งเป็นชาวนา ยิ่งสร้างปราสาทหินมากเท่าไร แรงงานที่จะไปทำการเพาะปลูกพืชอาหารก็ลดลงเท่านั้น
หลังก่อสร้างก็ยังต้องมีการดูแล ซึ่งศิลาจารึกที่ปราสาทตาพรหม ของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 บันทึกการใช้แรงงานเพื่อดูแลปราสาทตาพรหม ปราสาททรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส ยาวด้านละ 48 เมตร ระบุว่า มีคน 79,344 คน หมุนเวียนกันมาดูแลปราสาทนี้ มีพระเถระ 18 รูป และขุนนาง 2,740 คน ดูแลคนและพิธีกรรมสำหรับปราสาทนี้

2. สงครามกับเพื่อนบ้าน
เขมรโบราณ เป็นดินแดนที่อยู่ตรงกลาง ด้านตะวันออก ขนาบด้วย อาณาจักรจามปา และเวียดนาม ด้านตะวันตก เดิมถูกขนาบด้วยอาณาจักรทวารวดี ต่อมาก็เป็นอาณาจักรหริภุญชัยของมอญ และต่อมาก็คือ อาณาจักรสุโขทัยและอาณาจักรอยุธยา
ความใกล้ชิดของดินแดนกับความแตกต่างของชาติพันธุ์ ทำให้เขมรกระทบกระทั่งกับเพื่อนบ้านจนกลายเป็นสงครามได้
เฉพาะสงครามเขมรสมัยโบราณกับเพื่อนบ้านทางตะวันออก ช่วง พ.ศ. 1487-1746 มีสงคราม 8 ครั้ง รบกับเวียดนาม 1 ครั้ง, รบกับจาม 6 ครั้ง และรบกับจามและเวียดนาม 1 ครั้ง โดยสงครามเขมรกับจามเป็นสงครามที่สำคัญ เพราะทำให้ทั้ง 2 ฝ่ายต้องบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก ทั้งจากอาวุธและจากไข้ป่า อันเป็นเหตุล่มสลายของอาณาจักร

3. ขาดการทะนุบำรุงระบบชลประทาน
มีการสร้างบาราย และมีระบบส่งน้ำจากเทือกเขาพนมกุเลน แม่น้ำเสียมเรียบและสาขาต่างๆ มาเก็บไว้ จากนั้นก็มีประตูระบายเข้าไปเลี้ยงพื้นที่นา ทำให้การผลิตข้าวของเขมรมีเสถียรภาพดีมาก
แต่สงครามทำให้ระบบชลประทานขาดการดูแล คลองส่งน้ำจากบารายสู่พื้นที่นา รวมทั้งฝายทดน้ำตื้นเขิน ส่งผลให้ประสิทธิภาพระบบชลประทานลดลง เกิดน้ำขัง เกิดแหล่งเพาะยุง นำมาซึ่งไข้มาลาเรีย การขาดแคลนน้ำนำไปสู่อหิวาตกโรคระบาด ทำให้ประชากรลดลงไปอีกอย่างเป็นกระบวนการวัฏจักร
4. ปรากฏการณ์เอลนีโญ
ในช่วง พ.ศ. 1904-35 และ 1959-83 เกิดฝนแล้งถึง 56 ปี การทำนาไม่ได้ผล คนจำนวนมากอพยพหนีการอดตายไปอยู่ที่อื่น ยิ่งทำให้เขมรขาดทั้งกำลังการผลิตอาหารและขาดกำลังทหาร
ข้อมูลนี้มาจากนักวิทยาศาสตร์ที่ใช้วิธีนับวงปีของต้นไม้ อายุ 900 ปี ในพื้นที่ตอนเหนือของนครธม ที่เคยมีชีวิตอยู่ในขณะอาณาจักรเขมรกำลังรุ่งเรืองมาจนล่มสลาย รายงานนี้ได้ย้ำให้เห็นถึงความล้มเหลวของระบบชลประทาน ประกอบกับการเปลี่ยนทางเดินของแม่น้ำเสียมเรียบ ที่ปกติไหลลงบารายตะวันตก ได้เปลี่ยนทางเดินไปที่อื่น ทำให้น้ำในบารายเหลือน้อยเต็มที
5. การสร้างและย้ายเมืองหลวงบ่อยเกินไป
เวลา 417 ปี ของเขมรโบราณยุครุ่งเรือง มีเมืองหลวงถึง 8 เมือง ได้แก่ 1. อินทราปุระ สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 2. มหินทราปุระ สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 3. หริหระลายา สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 4. ยโศธรปุระ สมัยพระเจ้ายโสวรมันที่ 1 5. เกาะแกร์ พระเจ้าชัยวรมันที่ 4 6. บึงมาลา สมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 7. นครวัด สมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 8. นครธม สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7

การสร้างเมืองหลวงทั้งหมดนั้นใช้ทรัพยากรมหาศาล เมื่อสร้างเสร็จก็ต้องย้ายเชื้อพระวงศ์ ขุนนาง ข้าราชการ ตลอดจนทหารมาอยู่เมืองใหม่ คนที่น่าจะเดือดร้อนที่สุดน่าจะเป็นชาวนาที่ถูกเกณฑ์ไปตั้งรกรากในเมืองใหม่ ต้องทิ้งที่นาของตนไปบุกเบิกป่าให้เป็นนา
6. ศาสนา
เดิมชาวเขมรนับถือผี ต่อมาเมื่อผู้นำเขมรหันไปนับถือศาสนาฮินดู เริ่มมีการสร้างปราสาทหิน เป็นที่ประทับของเทพเจ้า เพื่อให้พระเจ้าพอใจ จึงต้องมีเครื่องเซ่นสังเวยไปบูชา แม้พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ได้หันมานับถือพุทธนิกายมหายาน แต่กษัตริย์ที่สืบต่อจากพระองค์ก็กลับไปนับถือฮินดู
ขณะที่ชาวเขมรเริ่มนับถือศาสนาพุทธลัทธิเถรวาท ที่เน้นการไปสู่ภาวะนิพพาน ได้รับความนิยมจากชาวบ้านเขมรอย่างรวดเร็ว เพราะไม่ต้องสร้างปราสาท มีเพียงกุฏิไม้ง่ายๆ ไม่ต้องเซ่นสังเวยบูชาทุกวัน จึงมีเวลาทำมาหากินและอยู่กับครอบครัว
เกิดความขัดแย้งระหว่างชนชั้นปกครอง-ชาวบ้าน ประกอบกับความอดอยากล้มตายจากปัญหาภัยแล้ง ทำให้สังคมเขมรปั่นป่วน และประชากรส่วนหนึ่งอพยพไปอยู่ที่อื่น
สุดท้าย ความรุ่งโรจน์ของเขมรโบราณก็เป็นปัจจัยหลายข้อของ “เหตุล่มสลาย” ของตัวมันเอง ปิดฉากของความรุ่งเรืองของอาณาจักรเขมรโบราณ
อ่านเพิ่มเติม :
- ที่มา “ประเทศกัมพูชา” สมัยก่อนเมืองพระนคร?
- “นครวัด” งามเด่นอลังการ ด้วยทรัพยากรจากลุ่มแม่น้ำมูล ในภาคอีสาน?
สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่
อ้างอิง :
ศ. สุวิทย์ ธีรศาศวัต. “ความรุ่งเรืองและความล่มสลายของอาณาจักรเขมรโบราณ” ใน, ศิลปวัฒนธรรม มีนาคม 2567.
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 3 มกราคม 2567