นักองค์อี นักองค์เภา 2 ราชนารี เชื่อมสัมพันธ์กัมพูชา-สยาม

นักองค์อี นักองค์เภา
ภาพประกอบเนื้อหา - จิตรกรรมฝาผนัง ภายในพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า)

นักองค์อี นักองค์เภา 2 ราชนารี ผู้เชื่อมความสัมพันธ์ราชสำนักกัมพูชา-สยาม

ในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์มีราชนารีจากต่างเมือง 2 พระองค์ ที่ปรากฏบทบาทในราชสำนักสยาม นั่นคือ นักองค์อี และนักองค์เภา พระราชธิดาในนักองค์ตน กษัตริย์กัมพูชา

สมเด็จพระอุไทยราชา หรือสมเด็จพระนารายณ์ราชาธิราช (นักองค์ตน) กษัตริย์กัมพูชา ที่ครองราชย์ตรงกับช่วงการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 มีพระราชธิดาและพระราชโอรส ดังนี้

  1. นักองค์มิญ ประสูติแต่นักนางมาลาบุปผาวดี (นามเดิมนักนางวงศ์ ซึ่งต่อมาเป็นสมเด็จพระภัควดี พระเอกกษัตรีย์ฯ) เมื่อ พ.ศ. 2308

2. นักองค์อี ประสูติแต่นักแม่นางแมน (เอกสารไทยเรียกว่า นักนางแม้น) เมื่อ พ.ศ. 2310 

3. นักองค์เภา ประสูติแต่สมเด็จพระภัควดีพระศรีสุชาดากษัตรีย์ เมื่อ พ.ศ. 2315

4. นักองค์เอง ประสูติแต่นักแม่นางไช เมื่อ พ.ศ. 2316

ต่อมาเกิดสงครามกลางเมืองในกัมพูชาหลายปี จนกระทั่ง พ.ศ. 2326 ขุนนางกัมพูชาจึงเชิญพระราชธิดาและพระราชโอรสในนักองค์ตนทั้ง 4 พระองค์ เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารรัชกาลที่ 1 ที่กรุงเทพฯ 

บริเวณพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) ภาพถ่ายทางเครื่องบินเมื่อ พ.ศ. 2489 ซึ่งในปัจจุบันได้เปลี่ยนเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร โรงละครแห่งชาติ และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

รัชกาลที่ 1 ทรงรับนักองค์เองเป็นพระราชบุตรบุญธรรม และโปรดฯ ให้ไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ตำบลคอกกระบือ (ปัจจุบันคือบริเวณวัดยานนาวา) ส่วนพระพี่นางอีก 3 พระองค์นั้น สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท (วังหน้าในสมัยรัชกาลที่ 1) ทรงรับไว้เป็นพระชายา ดังความในพระราชพงศาวดารฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ วัดพระเชตุพน ฉบับตัวเขียนว่า

“…ฝ่ายข้างกำภุชประเทศนั้น ทรงพระกรุณาโปรดให้ข้าหลวงถือท้องตราออกไปตั้งพญายมราชเขมรผู้มีความชอบ เปนเจ้าพญาอไภยภูเบศ ครองกรุงกำภูชาธิบดี แล้วให้ส่งจ้าวสี่องค์ราชบุตรนักพระอุไทยราชาเข้ามา ณะ กรุงฯ เจ้าพญาอไภยภูเบศก็ส่งเข้ามาตามรับสั่ง แล้วไปตั้งเมืองอยู่ ณะ ตำบลอูดงฦๅไชย มิได้อยู่ที่เมืองพุทไทเพช

๏ พระบาทสมเดจ์บรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว ก็ทรงพระกรุณาโปรดเลี้ยงนักพระองค์เองเปนราชบุตรบุญธรรม แต่นักพระองค์มินนั้นถึงแก่พิราไลย แลพระองค์อี พระองค์เภาหญิงทั้งสองนั้น สมเดจ์พระอนุชาธิราชกรมพระราชวังฯ ขอพระราชทานไปเลี้ยงไว้เปนพระสนมอยู่พระราชวังหน้า…”

นักองค์มิญ (บ้างเขียน มิน, เมน) นั้น ในพระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่ 5 ทรงบันทึกว่า “…องค์เมนในพงษาวดารเขมรเขากล่าวเข้าไปอยู่ในวังหน้าเหมือนกัน แต่พงษาวดารไทยว่าตาย เหลือแต่องค์อีกับองค์เภา เข้าไปเปนพระสนมเอกอยู่ในวังหน้า…” ขณะที่หลักฐานของกัมพูชาระบุว่า ในตอนหลังนักองค์มิญได้กลับคืนแผ่นดินกัมพูชา

สำหรับนักองค์อี และนักองค์เภา ก็รับราชการเป็นเจ้าจอมมารดาในสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ประทับอยู่ที่พระราชวังบวรสถานมงคล หรือวังหน้า

ภาพประกอบเนื้อหา – จิตรกรรมฝาผนัง ภายในพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า)

นักองค์อีมีพระราชธิดา 2 พระองค์คือ

  1. พระองค์เจ้าหญิงกัมพุชฉัตร ประสูติเมื่อ พ.ศ. 2329 สิ้นพระชนม์ในสมัยรัชกาลที่ 4
  2. พระองค์เจ้าหญิงวงศ์มาลา (บ้างเรียก พระองค์เจ้าวงษ, พระองค์เจ้าหญิงวงศ์กษัตรีย์) ประสูติเมื่อ พ.ศ. 2336 สิ้นพระชนม์ในสมัยรัชกาลที่ 4

ส่วนนักองค์เภามีพระราชธิดา 2 พระองค์คือ

  1. พระองค์เจ้าหญิง ประสูติเมื่อ พ.ศ. 2334 สิ้นพระชนม์ในสมัยรัชกาลที่ 1
  2. พระองค์เจ้าหญิงปุก ประสูติเมื่อ พ.ศ. 2335 สิ้นพระชนม์ในสมัยรัชกาลที่ 5

ทั้งนี้ พระมารดาของนักองค์อี คือนักแม่นางแมน ได้ตามมาประทับที่กรุงเทพฯ ด้วย ซึ่งขณะนั้นบวชเป็นชี สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทจึงทรงอุทิศพื้นที่สวนประพาสของพระองค์ ก่อสร้างเป็นวัดบวรสถานสุทธาวาส เพื่อให้นักแม่นางแมน และชีทั้งหลายจำศีล

ต่อมา เกิดเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างวังหลวงกับวังหน้า เมื่อพวกเขมรลากปืนใหญ่ขึ้นตั้งบนกำแพงวังหน้า ส่งผลให้ฝ่ายวังหลวงไม่พอใจ คิดว่าวังหน้าจะก่อการกำเริบ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทจึงรับสั่งให้นักองค์อีไปสืบสวนพวกเขมร ได้ความว่าเหตุลากปืนใหญ่ขึ้นตั้งบนกำแพงวังก็เพื่อเตรียมไว้ใช้ในช่วงพิธีตรุษ 

แต่มีขุนนางเขมรคนหนึ่งให้ความต่อฝ่ายวังหลวงว่า นักองค์อียุยงสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ดังนั้น รัชกาลที่ 1 จึงรับสั่งให้นำตัวนักองค์อีกับพวกไปคุมขังไว้รอประหารชีวิต แต่เมื่อรัชกาลที่ 1 สอบสวนเจ้าจอมวันทา เจ้าจอมในสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ก็ทราบว่านักองค์อีไม่มีความผิด จึงพระราชทานอภัยโทษนักองค์อีกับพวก

พระบรมราชานุสาวรีย์ วังหน้า “พระยาเสือ” ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์ กรุงเทพฯ

สำหรับพระราชธิดาที่ประสูติแต่นักองค์อี และนักองค์เภานั้น พระองค์เจ้าหญิงกัมพุชฉัตร มีพระประวัติบันทึกไว้ค่อนข้างชัดเจน ส่วนคนอื่นแทบไม่พบพระประวัติ

โดยพระองค์เจ้าหญิงกัมพุชฉัตรทรงมีความสามารถด้านการประพันธ์ ทรงประพันธ์เพลงยาวที่มีชื่อ “นิพานวังน่า” ซึ่งนับเป็นบันทึกทางประวัติศาสตร์ชิ้นสำคัญในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์

นักองค์อี และนักองค์เภา ประทับอยู่ที่วังหน้าเรื่อยมา จนกระทั่ง พ.ศ. 2350 นักองค์จันทร์ กษัตริย์กัมพูชา ขอพระราชทานนักองค์อี และนักองค์เภา ซึ่งมีฐานะเป็นพระมาตุจฉา หรือป้า ให้กลับแผ่นดินกัมพูชา 

ทั้งนี้ในเอกสารกัมพูชาระบุว่า นักองค์จันทร์ได้ขอพระราชทานนักองค์มิญ และนักนางมาลาบุปผาวดี พระมารดาของนักองค์มิญ กลับกัมพูชาด้วย แต่เอกสารไทยระบุแค่ขอพระราชทานนักองค์อี และนักองค์เภา

ซึ่งรัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ พระราชทานเฉพาะนักองค์เภา ส่วนนักองค์อี รวมถึงพระองค์เจ้าหญิงกัมพุชฉัตร พระธิดา ไม่ทรงมีพระบรมราชานุญาตให้กลับกัมพูชา

เรื่องราวของนักองค์อี นักองค์เภา จึงสะท้อนภาพความสัมพันธ์ระหว่างกัมพูชาและสยาม ซึ่งราชนารีจากต่างเมืองมีบทบาทในราชสำนักสยามอยู่ไม่น้อย

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


อ้างอิง : 

ศานติ ภักดีคำ. (มีนาคม, 2566). “สิริวรราชธิดา” พระองค์อี พระองค์เภา จากพระราชบุตรีกษัตริย์กัมพูชา สู่พระสนมในสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ใน, “ศิลปวัฒนธรรม”. ปีที่ 44 : ฉบับที่ 5.


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 22 พฤศจิกายน 2567