ผู้เขียน | วิภา จิรภาไพศาล |
---|---|
เผยแพร่ |
โดยทั่วไป เจ้าแม่กวนอิม, เสด็จเตี่ย (หรือ กรมหลวงชุมพรฯ), พระพรหม ฯลฯ ไม่ว่าจะประดิษฐานที่ใด ก็เป็นเจ้าแม่กวนอิม, เป็นเสด็จเตี่ย, เป็นพระพรหม ฯลฯ เช่นนี้เสมอมา แต่สำหรับ “เจ้าพ่อหอกลอง” กลับไม่ใช่ “เจ้าพ่อ” องค์เดียวกัน
จาก “หอกลอง” ถึง “เจ้า(ประจำ)พ่อกลอง”
เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระนคร ทรงโปรดฯ ให้สร้าง “หอกลองประจำเมือง” ขึ้นตามราชประเพณีโบราณ ที่บริเวณสวนเจ้าเชตุ ปัจจุบันคือ หน่วยบัญชาการรักษาดินแดน (เดิม คือ กรมการรักษาดินแดน)
หอกลองสร้างเป็นอาคาร 3 ชั้น และมียอดหลังคา แต่ละชั้นแขวนกลองไว้ 1 ลูก เรียงขนาดจากใหญ่ไปเล็กตามลำดับ และมีหน้าที่การใช้งานเฉพาะดังนี้
1. ชั้นล่าง แขวนกลองชื่อ “ย่ำพระสุรสีห์” หรือ “ย่ำพระสุรีย์ศรี” ขนาดหน้ากว้าง 82 เซนติเมตร ใช้ตีบอกเวลาย่ำรุ่ง, ย่ำค่ำ และเที่ยงคืนของแต่ละวัน เพื่อเป็นสัญญาณให้เปิด-ปิด ประตูเมือง
2. ชั้นที่สอง แขวนกลองชื่อ “อัคคีพินาศ” ขนาดหน้ากว้าง 60 เซนติเมตร ใช้สำหรับตีเป็นสัญญาณเมื่อเกิดเพลิงไหม้ โดยตี 3 ครั้งเพื่อบอกว่าเพลิงไหม้นอกกำแพง และตีไปเรื่อยๆ จนกว่าเพลิงจะดับถ้าเพลิงไหม้ในกำแพงพระนคร
3. ชั้นที่สาม แขวนกลองชื่อ “พิฆาตไพรี” หรือ “พิฆาตไพรินทร์” ขนาดหน้ากว้าง 44 เซนติเมตร ใช้ตีแจ้งเหตุเมื่อข้าศึกมาประชิดกำแพงพระนคร เพื่อแจ้งให้ราษฎรได้เตรียมตัวป้องกันพระนคร
กลองทั้ง 3 ลูก เชื่อว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีเทพยดาอารักษ์เรียกว่า “เจ้าพ่อหอกลอง”
เจ้าพ่อฯ ศาลหลักเมือง
ใกล้ๆ กับหอกลองดังกล่าวข้างต้น จึงตั้ง “ศาลเทพารักษ์” และมีรูปเทพารักษ์ประจำองค์หนึ่งเรียกว่า “เจ้าพ่อหอกลอง” เป็นรูปเทวดาสวมมงกุฎ หล่อด้วยโลหะปิดทอง สูง 105 เซนติเมตร ยืนบนแท่นแปดเหลี่ยม ยกพระกรทั้ง 2 ข้างสูงระดับอก มีนาครัดข้อพาหุ (แขน) ไปเบื้องหลัง
ภายหลัง “หอกลอง” มีความสำคัญลดลงตามยุคสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้รื้อหอกลองลง พร้อมกับให้สร้าง “สวนเจ้าเชตุ” ขึ้นแทน กลอง 3 ลูก นำไปเก็บไปไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ส่วนเจ้าพ่อฯ อารักษ์หอกลอง ก็อัญเชิญไปสถิตที่ “ศาลหลักเมือง”
เจ้าพ่อฯ ศาลาว่าการกระทรวงกลาโหม
ราวปี 2437 กระทรวงกลาโหม ย้าย “ที่ว่าการ” จากศาลาลูกขุนใน มาอยู่ที่ตั้งปัจจุบัน มีการสร้าง “หอกลอง” และ “ศาลหอกลอง” ขึ้นที่มุมอาคารด้านตะวันตก ชั้นที่ 3 ของศาลาว่าการกระทรวงกลาโหม แต่ราวปี 2501 ทรุดโทรมมากจึงรื้อออก และสร้างศาลเจ้าพ่อฯ ขึ้นใหม่ที่สนามด้านล่าง
แต่หลังจากรื้อศาลหอกลองบนอาคาร และอัญเชิญรูปหล่อเจ้าพ่อฯ ลงมาประทับ ที่ศาลบริเวณสนามของกระทรวงกลาโหม ก็เกิดเหตุมากมายกับผู้บริหารที่ทำงานอยู่ในศาลาว่าการ สุดท้ายจึงต้องตั้งศาลไว้ที่ชั้น 3 ของอาคารตามเดิม อัญเชิญรูปหล่อเดิมกลับขึ้นไป ส่วนศาลใหม่ด้านล่างก็สร้างรูปจำลองมาตั้งแทน
แต่เจ้าพ่อฯ องค์ที่ 2 นี้ ไม่ใช่เทพอารักษ์ แต่เป็น “บุคคลจริง” ในประวัติศาสตร์ คือ “เจ้าพระยาสีร์สุรศักดิ์ (จัน)” เกิดสมัยอยุธยา เป็นทหารเอกในสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ท่านชอบให้ทหารตีกลองศึกเวลาออกรบ จึงได้ชื่อว่า “เจ้าพ่อหอกลอง” เจ้าพระยาสีร์สุรศักดิ์ (จัน) รับราชการทหารจนถึงรัชกาลที่ 1 ก่อนจะป่วยและเสียชีวิตราวปี 2341
เจ้าพ่อฯ หน่วยบัญชาการรักษาดินแดน
ปี 2498 กรมการรักษาดินแดน (ชื่อในขณะนั้น) ย้ายที่ทำการจากท่าพระจันทร์ มาอยู่ที่สวนเจ้าเชตุ สถานที่เดิมที่เคยตั้ง “หอกลอง” จึงมีการตั้ง “ศาลเจ้าพ่อหอกลอง” ขึ้นที่ด้านหลังของกรม
รูปหล่อของเจ้าพ่อในศาล เป็นชายร่างใหญ่ นั่งขัดสมาธิเพชร มือสองข้างวางบนเข่า มีผ้าพาดไหล่ซ้าย ด้านหลังที่ประทับมีตราอาร์มแผ่นดินอยู่ที่ผนังของศาล สันนิษฐานว่า เจ้าพ่อองค์นี้ คือ “กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท” ที่ตามพระประวัติปรากฏว่า ทุกครั้งที่ทรงออกศึก มักมีรับสั่งให้ทหารตีกลองศึก ปลุกขวัญทหาร และข่มฝ่ายศัตรู
เป็นอันว่าทั้ง 3 ศาล แม้จะชื่อเดียวกัน แต่ไม่ใช่เทพองค์เดียวกัน ไม่เป็นบุคคลเดียวกัน เหมือนศาลเจ้าพ่อ/เจ้าแม่ ชื่อเดียวกันอื่นๆ ที่รูปเคารพเป็นองค์เดียวกัน ต่างกันบ้างที่รูปลักษณะ, เครื่องทรง ฯลฯ
คลิกอ่านเพิ่ม:
สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่
อ้างอิง
เทียมสิทธิ์ หลวงสุภา. “หอกลอง” ใน, สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคกลาง, มูลนิธิสารานุกรมวัฒนธรรมไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ จัดพิมพ์เนื่องในโอกาส พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรรษา 6 รอบ 5 ธันวาคม 2552.
กองบรรณาธิการข่าวสด. เทพ-เทวะ ศักดิ์สิทธิ์-สักการะ, สำนักพิมพ์มติชน 2553.
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 22 ตุลาคม 2567.