“จุนโกะ ทาเบอิ” ผู้เคยถูกหิมะถล่มใส่ ก่อนเป็นหญิงคนแรกที่พิชิตยอดเขา “เอเวอเรสต์”

ผู้เขียน	ปดิวลดา บวรศักดิ์
เผยแพร่	วันอาทิตย์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ.2568

“Mountain Queen: The Summits of Lhakpa Sherpa” เป็นอีกหนึ่งสารคดีฟอร์มยักษ์ที่เข้าฉายในสตรีมมิ่งชื่อดังอย่าง “Netflix” ในวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2567 โดยสารคดีเรื่องนี้จะบอกเล่าเรื่องราวของ “ลักปา เชอร์ปา” (Lhakpa Sherpa) แม่เลี้ยงเดี่ยวที่ทำงานเป็นพนักงานล้างจาน ผู้มีชีวิตอีกด้านหนึ่งคือการพิชิตยอดเขา “เอเวอเรสต์” (Everest) ภูเขาที่สูงที่สุดในโลก

แต่เรื่องราวของผู้หญิงที่เกี่ยวข้องกับเอเวอเรสต์ไม่ได้มีเพียงแค่ “ลักปา เชอร์ปา” ที่ถูกถ่ายทอดในสารคดีเรื่องนี้เท่านั้น ทว่ายังมี “จุนโกะ ทาเบอิ” (Junko Tabei) ผู้หญิงที่พิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์คนแรกของโลก ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน

จุนโกะ ทาเบอิ

เธอเป็นหญิงชาวญี่ปุ่น เกิดเมื่อวันที่ 22 กันยายน ค.ศ. 1939 ที่จังหวัดฟุกุชิมะ ประเทศญี่ปุ่น เป็นลูกสาวคนที่ 5 จากลูกทั้งหมด 7 คนของบ้าน

เธอตกหลุมรักการปีนเขาตั้งแต่อายุ 10 ขวบ หลังจากได้ปีนภูเขานาสึ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาทาเบอิก็เริ่มทุ่มเทความพยายามให้กับการปีนเขา เพราะถึงแม้ว่าจะเรียนจบมหาวิทยาลัยในสาขาการสอนและวรรณกรรมภาษาอังกฤษ แต่เธอก็ได้เข้าชมรมปีนเขาในญี่ปุ่น ฝึกทักษะการปีนเขา และเข้าร่วมการปีนเขามากมาย อย่างภูเขาไฟฟูจิ ภูเขาที่สูงที่สุดของญี่ปุ่นก็เป็นหนึ่งในนั้น

ต่อมา ทาเบอิก็ก่อตั้งชมรมปีนเขาสำหรับ “ผู้หญิง” ใน ค.ศ. 1969 พร้อมคติประจำชมรมว่า “เดินทางออกไปต่างประเทศด้วยตัวเองกันเถอะ!” โดยเธอหวังให้ชมรมนี้เป็นแรงผลักดันให้ผู้หญิงมีส่วนร่วมในการปีนเขามากขึ้นและท้าทายตัวเองเพื่อทำลายขีดจำกัดของพวกเธอเอง

กระทั่งเข้าสู่ ค.ศ. 1975 ซึ่งถือว่าเป็นปีของ “จุนโกะ ทาเบอิ” โดยแท้ เพราะเธอสามารถพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ ที่สูงกว่า 8,848 เมตร ได้ ยิ่งไปกว่านั้นทีมของเธอยังเป็น “ผู้หญิง” ทั้งหมด

ทาเบอิได้ให้สัมภาษณ์ถึงการปีนเขาในครั้งนี้กับนิตยสาร “Outside” นิตยสารสัญชาติอเมริกัน โดยเธอเล่าว่า

“ก่อนจะไปปีนเขาที่นี่ ฉันไม่เคยคิดยอมแพ้เลยสักครั้ง ถึงแม้ว่าในตอนแรกจะยังไม่ได้รับใบอนุญาตให้ปีนเขาก็ตาม แต่ฉันและทีมงานก็ต่างทำงานหนัก จนสุดท้ายก็ได้ใบอนุญาตให้ปีนเขาเอเวอเรสต์มาครอบครองในปี 1972 ก่อนจะเริ่มวางแผนเพื่อปีนเขาในเวลาต่อมา”

ความท้าทายในการปีนเขาของทาเบอิไม่ได้มีเพียงเรื่องพละกำลัง และการเตรียมตัวอย่างรัดกุมเพื่อปีนภูเขาเท่านั้น แต่ยังมีปัญหาเรื่องการเงินเข้ามาด้วย เนื่องจากในช่วงทศวรรษ 1970 ทั่วโลกได้เผชิญปัญหาเงินเฟ้อครั้งใหญ่ อย่าง “The Great Inflation”

ทาเบอิเล่าว่าตอนนั้นแทบไม่มีใครสนใจให้การสนับสนุนการปีนเขาครั้งนี้ของเธอเลย ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อทีมเป็นผู้หญิงทั้งหมด ก็ทำให้ยิ่งหาผู้สนับสนุนยากขึ้น

โชคดีที่หนังสือพิมพ์ญี่ปุ่นรายใหญ่อย่าง “Yomiuru” และสถานีโทรทัศน์ NTV ได้ให้โอกาสและเป็นผู้สนับสนุน ทว่าทีมก็ยังต้องจ่ายเงินกันอีกคนละ 1.5 ล้านเยน (ประมาณ 350,000 บาทในปัจจุบัน) เพื่อบรรลุเป้าหมายในครั้งนี้

หลังจากเริ่มภารกิจพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ ทาเบอิและทีมงานก็พบปัญหามากมาย เช่น เมื่อเข้าสู่แคมป์ 2 ขณะที่พวกเขากำลังนอนหลับอยู่ในเต็นท์ ก็มีหิมะถล่มทับลงมาโดยไม่มีสัญญาณบอกให้รู้ ทาเบอิติดอยู่ในเต็นท์และเริ่มหายใจไม่ออก ทว่าก็ได้พวกเชอร์ปา (กลุ่มคนท้องถิ่นที่มักทำหน้าที่เป็นลูกหาบให้กับคนที่มาพิชิตยอดเขา) ช่วยเอาไว้

ผ่านไป 3 วันร่างกายของทาเบอิก็ดีขึ้น เธอและทีมตัดสินใจมุ่งหน้าทำตามความฝันกันต่อไป จนวันที่ 16 พฤษภาคม ค.ศ. 1975 พวกเธอก็สามารถพิชิตยอดเขาอันหนาวเน็บและสูงสุดของโลกได้

หลังจากที่ทำความฝันได้สำเร็จ ทาเบอิได้รับความสนใจจากสื่อมวลชน รวมถึงได้รับเชิญให้ไปที่พระราชวังของจักพรรดิญี่ปุ่นเพื่อรับประทานอาหารกลางวัน รวมถึงรัฐบาลเนปาลก็ได้มอบเหรียญเกียรติยศให้เธอ

ทาเบอิเดินหน้าปีนเขาอีกหลายแห่ง จนในที่สุดเธอก็พิชิต Seven Summits ยอดภูเขาสูงสุดของโลก 7 ทวีป ได้แก่ เอเวอเรสต์ในเอเชีย, ยอดเขาเดลานีในอเมริกาเหนือ, เอลบรุสในยุโรป, วินสันในแอนตาร์กติกา, อกอนกวากวาในอเมริกาใต้, คิลิมันจาโรในแอฟริกา และปุนจะก์จายาในออสเตรเลียโอเชียเนีย ได้สำเร็จ

หลังจากทำตามความฝันกับสิ่งที่รักอย่างการปีนเขามาหลายทศวรรษ จุนโกะ ทาเบอิ ก็เสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม ค.ศ. 2016 ด้วยวัย 77 ปี

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่