“ธำรงรัฐกษัตรา” สำรวจเบื้องหลังความมั่นคงของชาติ โดย “อดินันท์ พรหมพันธ์ใจ”

อดินันท์ พรหมพันธ์ใจ ผู้เขียนหนังสือ “ธำรงรัฐกษัตรา: เบื้องหลังอำนาจประวัติศาสตร์ความมั่นคงไทย” ประวัติศาสตร์ชาติไทย สมัย สมบูรณาญาสิทธิราชย์
อดินันท์ พรหมพันธ์ใจ ผู้เขียนหนังสือ “ธำรงรัฐกษัตรา: เบื้องหลังอำนาจประวัติศาสตร์ความมั่นคงไทย”

พูดคุยกับ “อดินันท์ พรหมพันธ์ใจ” ผู้เขียนหนังสือ “ธำรงรัฐกษัตรา: เบื้องหลังอำนาจประวัติศาสตร์ความมั่นคงไทย” ว่าด้วยเรื่องเบื้องหลัง “ความมั่นคงของชาติ” ที่ได้รับการเสริมสร้างผ่าน “ชุดความรู้ประวัติศาสตร์ชาติไทย” เป็นอย่างไร ติดตามได้ในบทสัมภาษณนี้!

✍🏻 เพราะเหตุใดจึงเลือกศึกษาในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ความมั่นคงของไทย

จริงๆ ประเด็นนี้เป็นประเด็นทางสังคมประเด็นหนึ่ง เมื่อผู้ใหญ่ในบ้านเมืองตั้งคำถามว่าทำไมเด็กสมัยนี้ไม่สนใจประวัติศาสตร์ ไม่อ่านประวัติศาสตร์กันหรือ หรือการเรียนประวัติศาสตร์ในโรงเรียน ในสถาบันไม่เข้มข้นพอหรือ ทุกๆ ครั้งเมื่อมีกระแสนี้ขึ้นมา หรือเริ่มมีประเด็นทางสังคมบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับสถาบันหรือเกี่ยวกับกองทัพ รัฐบาลก่อนๆ ก็จะบอกให้ไปปรับหลักสูตรประวัติศาสตร์ในโรงเรียนให้เข้มข้นขึ้น

ผมจึงลองมองในมุมกลับ วิชาพวกนี้เป็นวิชาบังคับอยู่แล้ว เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่ได้เรียนประวัติศาสตร์ หรือจริงๆ แล้วผู้ใหญ่หรือเปล่าที่ไม่เคยศึกษาประวัติศาสตร์ต่อเลยหลังจากที่เรียนจบไปแล้ว เพราะจากตำราเรียน หนังสือ เอกสารต่างๆ ประวัติศาสตร์ในแต่ละช่วงเวลามีพัฒนาการ

องค์ความรู้ใดก็ตามที่หยุดนิ่งคือองค์ความรู้ที่ตายแล้ว แต่วิชาประวัติศาสตร์ไม่ใช่องค์ความรู้ที่ตายแล้ว เพราะฉะนั้นมันมีพัฒนาการ มีพลวัตที่เคลื่อนไหวในสังคม ถ้าคุณเรียนแล้วก็หยุดอยู่แค่นั้น แน่นอนว่าชุดความรู้ที่จะได้ ก็ได้เพียงแค่นั้น เพราะคุณไม่ได้ลากต่อ

อีกประเด็นที่ผมเห็นคือ เวลาไปงานหนังสือ เราเห็นน้องๆ สมัยนี้ ทั้งเยาวชนและคนที่สนใจประวัติศาสตร์เต็มบูธสำนักพิมพ์มติชน มีคนเข้าไปซื้อหนังสือประวัติศาสตร์เยอะมาก คนรุ่นผมถ้าถามถึงประวัติศาสตร์สมัยรัชกาลที่ 5 ว่าทำไมบ้านเมืองในยุคนั้นเจริญ ศิวิไลซ์แบบตะวันตก

เราจะได้คำตอบจากคนรุ่นพวกผมว่าเพราะพระมหากษัตริย์ทรงพระปรีชาสามารถ ทรงศึกษาภาษาอังกฤษ ศึกษาตำราต่างประเทศ ได้เสด็จพระราชดำเนินไปต่างประเทศ

แต่ถ้าไปถามเด็กยุคนี้ เด็กอาจตอบอีกมุมหนึ่งซึ่งอาจจะไม่ได้ตรงกับชุดความรู้ที่เราเรียนมา เด็กบางคนอาจตอบว่าสาเหตุหนึ่งที่ทำให้บ้านเมืองเจริญมาจากสนธิสัญญาเบาว์ริงซึ่งปรับโครงสร้างระบบเศรษฐกิจ สังคม การเมืองในบ้านเรา นี่คือประเด็นที่ทำให้ผมสนใจ

ประวัติศาสตร์เป็นเรื่องเล่า ที่สำคัญคือคนเล่ามีวัตถุประสงค์บางอย่างที่แฝงซ่อนเร้นอยู่ในเรื่องเล่านั้น เวลาเราเป็นพระเอก เราก็จะมีวิธีเล่าที่ทำให้เราเป็นพระเอก แต่ถ้าเป็นคนอื่นเล่าก็อาจจะเล่าอีกมุมก็ได้ เพราะในการเล่าแบบนี้ต้องเล่าเพื่อวัตถุประสงค์บางอย่าง

ผมจึงกลับมามองว่าทำไมเรื่องเล่าในแต่ละช่วงเวลามีความต่างกัน มันน่าจะมีประเด็นที่สำคัญ จึงมองกลับไปที่ปัญหาความมั่นคงของชาติซึ่งเป็นประเด็นที่ทำให้เราเล่าเรื่องถึงประเทศของเราแตกต่างกันไปในแต่ละยุคสมัย

✍🏻 จากเนื้อหาในเล่ม “ธำรงรัฐกษัตรา: เบื้องหลังอำนาจประวัติศาสตร์ความมั่นคงไทย” จะเห็นว่า เรื่องราวในประวัติศาสตร์ชาติไทยที่สร้างขึ้นโดยรัฐหรือชนชั้นนำมักจะมีศูนย์กลางอยู่ที่สถาบันพระมหากษัตริย์ จึงอยากทราบว่า เหตุใดพระมหากษัตริย์ถึงมีบทบาทสำคัญอย่างมากในหน้าประวัติศาสตร์ชาติไทย

ต้องกลับไปดูที่จุดเริ่มต้นเวลาเล่าเรื่องนะครับ เรื่องเล่ามีที่มาจากพระมหากษัตริย์ สถาบันพระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้เริ่มต้นเล่าถึงตัวพระองค์เอง ไม่ว่าคุณจะย้อนกลับไปมองตำนาน พงศาวดาร ตัวเอกทั้งหลายล้วนแล้วแต่เป็นสถาบันพระมหากษัตริย์ทั้งสิ้น กระทั่งต่อมาเมื่อเราเริ่มใช้ความรู้วิชาประวัติศาสตร์แบบตะวันตก ผู้เล่าก็ยังคงเป็นสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากรัชกาลที่ 4

เมื่อคุณต้องย้อนกลับไปเล่าเรื่องในอดีต ยิ่งเฉพาะในงานวิชาการ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่อ้างอิงย้อนกลับไปยังผู้เล่าคนแรก เพราะฉะนั้นประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์นิพนธ์ในบ้านเราจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยในการเล่าถึงพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของการเล่าเรื่องในแต่ละช่วงเวลา

✍🏻 อาจกล่าวได้ว่า สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นเสมือนจุดแรกเริ่มการสร้างชุดความรู้ประวัติศาสตร์ชาติไทย จึงอยากทราบว่า การเขียนประวัติศาสตร์ชาติไทยในยุคนี้มีลักษณะเด่นอย่างไรบ้าง

คุณต้องเข้าใจประวัติศาสตร์สมัยรัชกาลที่ 5 ก่อนว่าเมื่อประเทศของเรามีเส้นเขตแดนที่เกิดขึ้นจากการขีดโดยชาติมหาอำนาจ คือ ฝรั่งเศสกับอังกฤษที่ตกลงกันว่าอาณาเขตอังกฤษที่ครอบครองที่พม่ามีเท่าใด อาณาเขตฝรั่งเศสที่ควบคุมอินโดจีนมีเท่าใด และส่วนที่เหลือคือสยามที่เป็นขวานทอง

การลากเส้นเช่นนี้ทำให้เราไปกินพื้นที่ของประเทศราช บ้านเล็กเมืองน้อยต่างๆ จุดกำเนิดของการเล่าประวัติศาสตร์ชาติในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่อำนาจรวมศูนย์ คือ จะทำอย่างไรให้เมืองทั้งหลายที่อยู่ในเส้นเขตแดนที่เกิดขึ้นใหม่มีเรื่องเล่าร่วมกัน ซึ่งเมื่ออำนาจรวมศูนย์ การเล่าเรื่องก็ต้องกำเนิดจากส่วนกลางว่าส่วนกลางมีความสัมพันธ์กับท้องถิ่นเหล่านั้นอย่างไร เพราะแต่เดิมเขามีเจ้าเมืองของเขา

เมื่อรัชกาลที่ 6 ทรงเริ่มต้นเขียนประวัติศาสตร์ พระองค์ทรงมองย้อนกลับไปว่าเรามีหลักฐานประวัติศาสตร์อะไรบ้างที่สามารถเป็นจุดเริ่มต้นได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดในการเล่าประวัติศาสตร์คือ มีหลักฐานไหม ประวัติศาสตร์บอกเล่าอย่างพงศาวดารใช้ไม่ได้ ความน่าเชื่อถือมีน้อย

หลักฐานที่เรามีซึ่งรัชกาลที่ 4 ทรงค้นพบไว้ คือ ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงมหาราช เพราะฉะนั้นประวัติศาสตร์ชาติไทยจึงมีจุดกำเนิดจากสุโขทัย เพราะเป็นสมัยเดียวที่เราพบหลักฐานและหลักฐานถูกค้นพบโดยพระมหากษัตริย์

จุดเล่าเรื่องของเราจึงเริ่มต้นจากรัชกาลที่ 4 ที่ทรงเล่าว่าบ้านเมืองของเรามีพัฒนาการอย่างไร มีตัวอักษร มีการค้าขาย มีความรุ่งเรืองอย่างไรเพื่อที่จะบอกอังกฤษในเวลานั้น ผ่านเซอร์จอห์น เบาว์ริงไปเสนอต่อสมเด็จพระราชินีอังกฤษว่าบ้านเมืองสยามเจริญ มีพัฒนาการมาใกล้เคียงหรือคล้ายๆ กับอังกฤษ จะบอกว่าเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนไม่ได้ เราเจริญทัดเทียมกัน

✍🏻 ช่วงสงครามเย็นถือเป็นช่วงเวลาที่ความมั่นคงของไทยมีความสั่นคลอน เพราะต้องสู้ภัยคอมมิวนิสต์อย่างหนักหน่วง จึงอยากทราบว่า ประวัติศาสตร์ชาติไทยที่เขียนขึ้นในยุคนี้มีลักษณะเด่นอย่างไร และสถาบันพระมหากษัตริย์มีบทบาทสำคัญอย่างไรในสถานการณ์เช่นนี้

ย้อนกลับไปในช่วงหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อเราเปลี่ยนแปลงการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นประชาธิปไตย คณะราษฎรได้ทำการลดบทบาทสถาบันกษัตริย์ลงด้วยกฎหมายต่างๆ นานา ต่อมาเมื่อถึงสมัยรัชกาลที่ 8 ที่เราเผชิญสงครามโลกครั้งที่ 2 พระองค์ยังทรงพระเยาว์และไม่ได้มีบทบาทมากนัก เนื่องด้วยว่าในช่วงเวลานั้น อำนาจทั้งหลายอยู่ที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม

เมื่อสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 เข้าสู่สงครามเย็น แนวคิดหลักสำคัญที่เข้ามาในประเทศไทย และได้รับการผลักดันในการแก้ไขปัญหาความมั่นคงไทยโดยสหรัฐอเมริกาเป็นอย่างมาก คือ แนวคิดการพัฒนา ทั้งนี้ สหรัฐอเมริกาไม่ได้เข้ามาเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ หรือพัฒนากองทัพเพียงอย่างเดียว แต่เข้ามาดูว่าเรามีเครื่องมืออะไรที่เขาสามารถที่จะหยิบไปใช้ในแง่ของสงครามทางจิตวิทยาได้บ้าง

ซึ่งสหรัฐอเมริกาเห็นว่าเรามีสถาบันพระมหากษัตริย์ จึงสร้างโมเดลสืบเนื่องจากรัชกาลที่ 6 คือ “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์” เพราะฉะนั้นเวลาเรามองปัญหาความมั่นคง เราต้องมองว่าในเวลานั้น เมื่อเราพูดถึงชาติ เราถูกแทนคำว่าชาติด้วยอะไร ตัวอย่างเช่น ถ้าในสมัยรัชกาลที่ 6 เราถูกแทนชาติด้วยพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 6 ทรงมีพระราชนิพนธ์ชัดเจนเลยว่า หากอยากรู้ว่าเขาเป็นคนชาติไหน ให้ดูว่าเขาจงรักภักดีกับใคร เขาก็คือคนชาตินั้น

ในช่วงสงครามเย็น มีความพยายามในการสถาปนาสถาบันพระมหากษัตริย์ขึ้นมา เมื่อในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงขึ้นครองราชย์ได้ไม่นานนัก ก็มีการส่งเสริมบทบาทสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างเข้มข้น รัฐบาลจอมพลสฤษดิ์รับลูกตรงนี้มาและผลักดันเพิ่มเติม รัฐบาลสฤษดิ์ได้ประโยชน์ 2 ทาง ได้แก่

หนึ่ง ได้สถาบันพระมหากษัตริย์ช่วยในการสร้างความชอบธรรมในการทำงานต่างๆ ของรัฐบาล สอง ส่งเสริมสถาบันพระมหากษัตริย์ให้เป็นเครื่องมือในการสู้กับคอมมิวนิสต์ โดยส่งเสริมให้เห็นว่าสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นประชาธิปไตย การเสด็จพระราชดำเนินไปต่างประเทศ

การที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชดำรัสในสภาคองเกรสเป็นการสร้างภาพลักษณ์ให้เห็นว่าประเทศไทยไม่มีวันเป็นโดมิโนตามทฤษฎีที่บอกว่าสักวันหนึ่งประเทศในแถบนี้จะล้มและกลายเป็นคอมมิวนิสต์

✍🏻 ช่วงเวลาหนึ่งที่สำคัญคือ วาระครบรอบ 200 ปีกรุงรัตนโกสินทร์ใน พ.ศ. 2525 (ตรงกับสมัยรัฐบาลพลเอก เปรม ติณสูลานนท์) ที่มีการเฉลิมฉลองครั้งยิ่งใหญ่และมีพิธีกรรมสำคัญๆ ที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์เกิดขึ้น

อยากทราบว่า งานสมโภชครั้งนี้มีส่วนเกื้อหนุนประวัติศาสตร์ความมั่นคงไทยมากน้อยแค่ไหน บทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ในหน้าประวัติศาสตร์ได้รับการขับเน้นความสำคัญอย่างไรบ้าง

ในช่วงเวลานี้ ต้องพูดเลยว่าสื่อมีอิทธิพลมาก เพราะแทบทุกบ้านมีวิทยุ มีโทรทัศน์กันแล้ว ในวาระสำคัญสมโภชน์รัตนโกสินทร์ 200 ปีเป็นช่วงเวลาที่ทั้งคนที่สนใจประวัติศาสตร์และชาวบ้านทั้งหลายที่ไม่เคยได้เห็นว่าพระบรมมหาราชวังมีหน้าตาอย่างไร ไม่เคยเห็นพระราชพิธีต่างๆ อย่างเป็นรูปธรรม ได้เห็นสิ่งเหล่าผ่านการถ่ายทอด เผยแพร่ ส่งเสริมโดยสื่อ

ประกอบกับมีการบูรณะพระบรมมหาราชวังและวัดพระแก้วครั้งใหญ่ และมีพระราชพิธีพระศพที่ท้องสนามหลวง ทำให้คนอยากเห็นและทำให้คนหันกลับมาสนใจประวัติศาสตร์ชาติ เรียกได้ว่าช่วงเวลานี้เป็นการสร้างประวัติศาสตร์ราชวงศ์จักรีอย่างเป็นเนื้อเป็นหนัง มีข้อมูลจำนวนมหาศาลออกมา

✍🏻 ท่ามกลางความแตกต่างหลากหลายทางความคิด รัฐควรปรับแนวทางการเขียนประวัติศาสตร์ชาติไทยอย่างไรให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน

ถ้าผมฝากได้ อยากฝากถึงคนที่มีอำนาจในการบริหารบ้านเมืองว่า คุณต้องรู้ก่อนว่าชุดความรู้ต่างๆ มันเป็นพลวัต มีความเคลื่อนไหว มีข้อมูลใหม่ๆ เติมเข้ามาเรื่อยๆ และอยากจะบอกไปถึงผู้ใหญ่ทั้งหลายว่าใจกว้างเถอะ องค์ความรู้หรือวิชาในแต่ละยุคสมัยมันมีพัฒนาการของเขา ยิ่งในช่วงหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ เกิดประวัติศาสตร์ขึ้นมา 2 กระแสด้วยซ้ำไป คือ มีกระแสหลักที่เล่าเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นเรื่องหลักดังเดิม และในขณะเดียวกันก็มีประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ประวัติศาสตร์ที่ไกลลึกไปกว่าสุโขทัย ประวัติศาสตร์ไปไกลกว่าที่เราเคยรับรู้ ไกลกว่าเรื่องที่เราเคยนึกฝัน

✍🏻 ทิ้งท้าย “ธำรงรัฐกษัตรา: เบื้องหลังอำนาจประวัติศาสตร์ความมั่นคงไทย”

สำหรับคนที่เป็นคอประวัติศาสตร์ เนื้อหาของหนังสือเล่มนี้ ผมรวบรวมจากบทความวิชาการที่ผมตีพิมพ์ในวารสารวิชาการประมาณ 10 กว่าชิ้น มาตัดทอน เพิ่มเนื้อหา เล่าเรื่องใหม่ๆ เข้าไป คิดว่าหากท่านผู้อ่านสนใจประวัติศาสตร์หรือสนใจการเมือง เล่มนี้เป็นเล่มที่ไม่ควรพลาด

เพราะนอกจากจะได้ประเด็นทางประวัติศาสตร์แล้ว ท่านยังได้ประเด็นทางการเมืองในแต่ละยุคสมัยด้วย และจะเห็นว่าจริงๆ แล้วประวัติศาสตร์รับใช้ชาติ รับใช้รัฐ หรือรับใช้ใคร

หนังสือเล่มนี้รวบรวมหนังสือหลายเล่มที่ผลิตออกมาจากแต่ละช่วงเวลาเพื่อเล่าถึงประวัติศาสตร์ในช่วงเวลานั้นๆ ลองมาดูกันได้ครับว่าเหมือนกับที่ผมเขียนไว้ในหนังสือเล่มนี้หรือไม่

เรื่อง: ธัญลักษณ์ ทองสุข

ออกแบบภาพ: ณัชชา เชี่ยวกล 

📍สามารถรับชม “Honor History: เล่าประวัติศาสตร์ราชวงศ์สยาม”

EP.3 ประวัติศาสตร์แห่งชาติกับการสร้างความมั่นคงของรัฐเพิ่มเติมผ่าน….

✓ Youtube : https://www.youtube.com/watch?v=ocQDpKc7gt0

✓ Facebook : https://www.facebook.com/SilpaWattanatham/videos/1441050563265499 

สั่งซื้อหนังสือชุดกษัตราธิราช (3 เล่ม)
เว็บไซต์ : https://bit.ly/3RVVGm2
Shopee : https://bit.ly/4ctd8qi
Line Shop : https://bit.ly/3VUUT6a
Tiktok : https://bit.ly/4cEUrQm

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 18 กรกฎาคม 2567