“เล่นพิเรนทร์” คำศัพท์ที่มาจากราชทินนามของ “พระพิเรนทร์” คนไหน

เรือปืน แม่น้ำเจ้าพระยา
เรือ ปืน "ลูตัง" (Lutin) ของ ฝรั่งเศส ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคำว่า "เล่นพิเรนทร์"

เล่นพิเรนทร์ ศัพท์คำนี้ ความหมายที่คนส่วนใหญ่เข้าใจตรงกันคือ ผิดปรกติ, แผลง, วิตถาร ส่วน “เล่นพิเรนทร์” มีที่มาอย่างไรนั้น วิภัส เลิศรัตนรังษี เคยเสนอไว้ใน “ศิลปวัฒนธรรม” เมื่อปี 2564 พอสรุปความได้ดังนี้

นายแพทย์นวรัต ไกรฤกษ์ กล่าวว่า “เล่นพิเรนทร์” คำนี้เคยรับฟังจากบิดาพระยาบุรุษรัตนราชพัลลภ (นพ ไกรฤกษ์) และเรียบเรียงไว้ในเรื่องปกิณณกะในรัชกาลที่ 5 ว่า

คำว่า พิเรนทร์ตามความหมายที่ไม่ใช่ศัพท์แสงก็เข้าใจกันได้ว่า เล่นแผลงๆหรือ เล่นอุตริทุกวันนี้เป็นคำพูดที่ใช้กันอยู่บ่อยๆ เหมือนกัน…แต่ท่านทราบหรือไม่ว่า คำว่า เล่นพิเรนทร์นี้มีมูลมาอย่างไรและเมื่อใด ข้าพเจ้าจะขอถ่ายทอดให้ท่านทราบตามที่เจ้าคุณพ่อได้กรุณาเล่าให้ข้าพเจ้าฟังอีกต่อหนึ่ง

เมื่อเกิดกรณีพิพาทกับฝรั่งเศสใน .. 112 นั้น…มีท่านพระตำรวจหลวงผู้หนึ่งราชทินนามว่า พระพิเรนทรเทพ ออกความคิดจะจัดตั้งและฝึกหัดหน่วยจู่โจมพิเศษ โดยให้ดำน้ำไปเจาะเรือรบฝรั่งเศสเพื่อให้จม…

พระพิเรนทร์ฯ จัดการฝึกหัดบ่าวไพร่และผู้อื่นที่อาสาสมัครดำน้ำในคลองหน้าบ้านของท่านทุกวันเพื่อให้เกิดความชำนิชำนาญและดำทนเป็นพิเศษ แต่บางคนดำน้ำอยู่ได้ไม่นานก็โผล่ขึ้นมาเสียแล้ว คุณพระจึงต้องใช้ไม้ถ่อคอยค้ำคอไว้ไม่ให้โผล่ขึ้นมาเร็วเกินไป เผอิญมีการตายกันเกิดขึ้น…พวกชาวบ้านจึงพากันเรียกการกระทำของคุณพระว่า เล่นอย่างพิเรนทร์ เลยเป็นคำพูดติดปากมาจนตราบเท่าทุกวันนี้…” [สั่งเน้นคำโดยกองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม]

ส่วน พระยาอนุมานราชธน (ยง เสฐียรโกเศศ) กล่าวไว้ในหนังสือฟื้นความหลัง ความว่า เมื่อ .. 112 เรือรบฝรั่งเศสหักด่านปากน้ำ หลุดเข้ามาได้ถึงกรุงเทพฯ ก็มาจอดทอดลอยลำอยู่กลางน้ำหน้าสถานทูตฝรั่งเศส เวลาเย็นมีราษฎรแตกตื่นพากันไปดูเรือรบที่หน้าศุลกสถาน (คือที่ทำการกรมศุลกากรสมัยนั้น อยู่ติดกับสถานทูตฝรั่งเศสด้านเหนือ) และทหารฝรั่งเศสในเรือรบกำลังลงอาบน้ำในแม่น้ำ อย่างแบบฝรั่งที่ไม่รู้จักใช้ผ้าขาวม้า ราษฎรที่ยืนมุงดูอยู่เห็นฝรั่งเศสในเรือรบแก้ผ้าอาบน้ำกลางแจ้ง ไม่มียางอาย เหนี่ยวรั้งความเกลียดชังไม่อยู่…

นอกนี้ข้าพเจ้ายังได้ฟังจากคำเล่าจากบิดาข้าพเจ้าว่า ท่านผู้หนึ่งมีบรรดาศักดิ์เป็นพระยา เป็นเทือกเถา เหล่ากอขุนนางทหารเอกของไทยสมัยรัชกาลที่ 3 ซึ่งตั้งบ้านเรือนอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา…ได้ฝึกบ่าวไพร่ในบ้านให้รู้จักดำน้ำได้ทน

ถ้าถึงคราวคับขันชอบมาพากล ก็จะได้ใช้ให้พวกดำน้ำทนเหล่านี้ถือขอเหล็กด้ามยาวดำน้ำว่ายพุ่งไปที่เรือรบ กะให้พอดีถึงเรือรบ พอผุดขึ้นจากน้ำ ก็ให้ทะลึ่งขึ้นสูงทันที เอาขอเหล็กขึ้นสับกับกราบเรือรบทันทีทันใด แล้วไต่ขึ้นไปจัดการกับทหารบนเรือรบทันควัน เรื่องก็จะต้องสำเร็จกันเท่านั้นเอง แต่การฝึกหัดนี้ทำไปไม่ได้นาน เพราะคนที่ได้รับการฝึกหัดคนหนึ่งจมน้ำตาย ความทรงทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท การฝึกหัดที่กล่าวนี้จึงต้องเลิกไป…

แล้วพระพิเรนทร์ที่ว่านั้นเป็นใครกัน?

เมื่อตรวจสอบพบว่า บุคคลที่ครองราชทินนาม พระพิเรนทรเทพ ใน ร.ศ. 112 (พ.ศ. 2436) ชื่อ สาย สิงหเสนี (พ.ศ. 2398-2463) ตำแหน่งราชการสูงสุดที่ได้รับคือพระยาอนุชิตชาญไชย สมุหพระตำรวจในสมัยรัชกาลที่ 6

พระพิเรนทรเทพ ขุนนาง ผู้ชาย
พระพิเรนทรเทพ (สาย สิงหเสนี) ต่อมาเป็นพระยาอนุชิตชาญไชย

ประวัติฉบับทางการของพระยาอนุชิตชาญไชย (สาย) สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงพระนิพนธ์ไว้ว่า สายสืบเชื้อสายมาจากเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ขุนนางคนสำคัญในสมัยรัชกาลที่ 3 โดยเป็นบุตรคนที่ 2 ของพระยาเพชรชฎา (ดิศ สิงหเสนี) เกิดในปีที่สยามลงนามในสนธิสัญญาเบาริ่ง เริ่มรับราชการในสมัยรัชกาลที่ 5 เติบโตจากกรมทหารมหาดเล็ก จากนั้นย้ายมาเป็นปลัดกรมพระตำรวจใหญ่ขวา ในช่วงที่เป็นตำรวจหลวงนี้เอง สายถูกส่งไปปฏิบัติหน้าที่ในหัวเมืองหลายครั้ง และยังเคยไปปราบฮ่อทางเมืองหนองคายด้วย จนกระทั่งปี 2436 (ร.ศ. 112) มาถึง

เมื่อไทยเกิดเป็นอริกับฝรั่งเศส โปรดฯ ให้พระยาอนุชิตฯ เป็นข้าหลวงพิเศษไปรวบรวมกำลังพาหนะที่เมืองปราจีนบุรี ครั้นตกลงจะส่งกองทัพเพิ่มเติมกำลังออกไปยังเมืองอุบลราชธานี จึงพระราชทานสัญญาบัตรเลื่อนบรรดาศักดิ์ขึ้นเป็นที่ พระพิเรนทรเทพ เจ้ากรมพระตำรวจใหญ่ขวา และเลื่อนยศขึ้นเป็นนายพลจัตวาทหารบก โปรดฯ ให้เป็นแม่ทัพคุมพลออกไปยังเมืองอุบลราชธานี (สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ. คนดีที่ข้าพเจ้ารู้จัก 1.รวมสาส์น, 2548)

ทว่า การตรวจสอบราชกิจจานุเบกษาก็พบว่า ก่อนที่ สาย สิงหเสนี จะได้รับโปรดเกล้าฯ เป็นพระพิเรนทรเทพนั้น เขามีตำแหน่งเป็นที่พระราชวรินทร์ การเข้ารับพระราชทานสัญญาบัตรเกิดขึ้นในวันที่ 20 เมษายน 2436 (ร.ศ. 112) ซึ่งในวันดังกล่าวมีพระพิเรนทรเทพถึง 2 คนพร้อมกัน

ดังที่ราชกิจจานุเบกษาแถลงว่า การที่โปรดเกล้าฯ ให้พระราชวรินทร์เปนพระพิเรนทรเทพก่อน แต่ที่จะโปรดเกล้าฯ ให้พระพิเรนทรเทพเลื่อนเปนตำแหน่งอื่นนี้ เพราะเหตุที่พระราชวรินทร์มีราชการได้กราบถวายบังคมลาในวันนี้

ข้อมูลช้างต้น ทำให้ทราบอีกว่า พระพิเรนทรเทพ (สาย) ได้ออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ 20 เมษายน 2436 เพื่อไปเกณฑ์ทหารและพาหนะแถบเมืองปราจีนบุรีส่งไปเมืองอุบลราชธานี เพราะในเวลานั้นเกิดการปะทะกับฝรั่งเศสที่แม่น้ำโขงแล้ว

นั่นเท่ากับว่า พระพิเรนทรเทพ (สาย) จะไม่อยู่ในกรุงเทพฯ ตั้งแต่ต้นปี 2436 (เวลานั้นขึ้นปีใหม่เดือนเมษายน) ส่วนเรือปืนฝรั่งเศสที่คุณหมอนวรัตเล่าเอาไว้จะเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ในอีก 3 เดือนให้หลัง ดูเหมือนว่าบุคคลต้นเรื่องของเรากับเรือปืนเจ้าปัญหาจะไม่ได้อยู่ร่วมพื้นที่เวลาเดียวกันซะแล้ว!

ทั้งนี้ ยังมีหลักฐานอีกจำนวนหนึ่งที่ยืนยันว่า ตั้งแต่ปลายเดือนเมษายน 2436 จนถึงต้นปี 2437 หรือราว 1 ปีเศษๆ พระพิเรนทรเทพ (สาย) ปฏิบัติราชการอยู่หัวเมืองโดยตลอด ดังปรากฏในประวัติของหลวงไกรกรีธา (ยรรยง บุรณศิริ) และพระยาพหลโยธิน (นพ พหลโยธิน) รายละเอียดเกี่ยวกับการเดินทัพของพระพิเรนทรเทพนี้ยังถูกนำมาเล่าเอาไว้ในหนังสือนิทานชาวไร่ ของ น.อ. สวัสดิ์ จันทนี ด้วยซ้ำว่า ออกเดินทางจากเมืองปราจีนบุรีไปยังเมืองอุบลราชธานีหลังจากเรือปืนของฝรั่งเศสฝ่าแนวป้องกันที่ปากน้ำไปแล้ว

กองทัพนี้ตั้งยันฝรั่งเศสที่เมืองอุบลราชธานีไปจนถึงต้นปี 2437 ก็ถูกเรียกกลับกรุงเทพฯ พอกลางปีนั้น พระพิเรนทรเทพ (สาย) ก็ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้เป็นพระยามหามนตรี เจ้ากรมพระตำรวจในขวา ถือศักดินา 2000 จะเห็นได้ว่า สายอยู่ในบรรดาศักดิ์และราชทินนาม “พระพิเรนทรเทพ” ตั้งแต่วันที่ 20 เมษายน 2436 จนถึง 18 ตุลาคม 2437 รวม 19 เดือนเท่านั้น และตลอดระยะเวลาดังกล่าว สายก็ปฏิบัติราชการอยู่ในหัวเมืองโดยตลอด

ถ้าข้อเท็จจริงเป็นเช่นนั้น ผมก็เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า เรื่องเล่าพระพิเรนทรเทพฝึกคนดำน้ำเกิดขึ้นตอนไหนกันแน่ ? และยังจะใช่พระพิเรนทรเทพที่ชื่อ สาย สิงหเสนี คนนี้หรือเปล่า ?

ปัญหาเรื่อง “พื้นที่-เวลา” ผู้เขียน (วิภัส เลิศรัตรังษี) ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเพื่อนๆ ที่ช่วยค้นข้อมูลต่างๆ และตั้งข้อสังเกตว่า การฝึกคนดำน้ำเกิดขึ้นก่อนปี 2436 (ร.ศ. 112) หรือไม่

หากการฝึกดำน้ำจะต้องเกิดหลังจากวิกฤติการณ์ปากน้ำ ตลอดจนปฏิบัติกับความคิดนั้นราวกับเป็นความจริงที่ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ ทั้งๆ ที่ในข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์แล้วดูจะมีประเด็นอยู่ไม่น้อย เพราะเรือปืนฝรั่งเศสเข้ากรุงเทพฯ มา 2 ครั้ง เรือปืนลำแรกที่เข้ามาชื่อ “ลูตัง” (Lutin) ลอยลำหน้าสถานทูตฝรั่งเศสตั้งแต่วันที่ 19 มีนาคม 2435 (ร.ศ. 111) หรือ 4 เดือนเต็มๆ ก่อนที่เรือปืนชื่อ “โคแม็ต” (Comete) และ “แองกงสตัง” (Inconstang) จะเข้ามาในเดือนกรกฎาคม 2436 จนเป็นที่มาของวิกฤติการณ์

หากเราคิด “พิเรนทร์ๆ” ว่าการฝึกดำน้ำเกิดขึ้นก่อนปี 2436 ก็เป็นไปได้ว่าเรือปืนที่อยู่ในเรื่องเล่าทั้ง 2 เรื่องอาจจะเป็นเรือลูตัง หาใช่เรือโคแม็ตหรือแองกงสตังอย่างที่เข้าใจตามเรื่องเล่า เหตุผลก็คือไม่มีการพูดถึงเรือปืนฝรั่งเศสว่ามี 3 ลำสักแห่งเดียว หรือต่อให้เรื่องจำนวนเรือไม่สำคัญก็ได้

หรือการที่พระยาอนุมานราชธนเล่าว่ามีชาวบ้านไปมุงดูฝรั่งแก้ผ้าอาบน้ำ ก็น่าจะเป็นทหารเรือลูตังอีกเช่นกัน เพราะกว่า 4 เดือนนั้นสถานการณ์ยังคงตึงๆ อยู่ แต่หลังเกิดวิกฤติการณ์ปากน้ำ ความตึงเครียดที่เกิดขึ้นไม่น่าจะเอื้อให้ใครก็ตามเข้าใกล้เรือปืนทั้ง 3 ลำได้ง่ายๆ มิหนำซ้ำ เรือปืนทั้ง 3 ลำของฝรั่งเศสก็ถอนสมอออกจากกรุงเทพฯ หลังวิกฤติการณ์ผ่านไป 2 สัปดาห์เพื่อไปปิดปากอ่าวสยามแทน

จึงน่าจะเชื่อว่าเรือปืนเจ้าปัญหาของเราก็คือเรือลูตังนี่แหละครับ และตั้งแต่วันที่ 19 มีนาคม 2436 (ร.ศ. 111) จนถึง 19 เมษายน 2436 (ร.ศ. 112) เป็นช่วงเวลาเดียวเท่านั้นที่ สาย สิงหเสนี จะอยู่ร่วม “พื้นที่-เวลา” เดียวกับเรือปืนลูตังอีกด้วย!

แต่ในเวลาดังกล่าว สาย สิงหเสนี จะฝึกดำน้ำตามคำเล่าลือหรือเปล่ายังหาหลักฐานอื่นๆ มายืนยันไม่ได้ แต่ที่แน่นอนคือวันที่ 20 เมษายน 2436 หรือ 1 เดือนหลังจากเรือปืนลูตังเข้ามา สายก็ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้เป็นพระพิเรนทรเทพแล้วส่งไปเมืองปราจีนบุรีในทันที ส่วนเหตุผลที่เขาถูกเลือกให้เป็นแม่ทัพในคราวนี้ นายทหารที่ได้ยินได้ฟังมาจากข้างในอีกทีได้เล่าให้ น.อ. สวัสดิ์บันทึกเอาไว้ว่า

ก่อนวันเดินทาง บรรดานายทหารสัญญาบัตรเข้าเฝ้าฯ พระพุทธเจ้าหลวงที่พระที่นั่งอนันตสมาคม (องค์ที่รื้อแล้ว ตั้งอยู่ข้างวัดพระศรีรัตนศาสดาราม) ในหลวงเสด็จออกในเวลาหนึ่งทุ่ม มีพระบรมวงศานุวงศ์ 50-60 องค์ เฝ้าฯ อยู่ด้วย พระพิเรนทรเทพคลานเข้าไปถึงพระบาท แล้วกราบลงสามรา ทรงรับสั่งว่า

เจ้าพระพิเรนทร ข้าให้เจ้าไปทัพครั้งนี้ เพราะว่าพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เห็นว่าเจ้าเป็นผู้สมควร เพราะเจ้าเป็นตระกูลแม่ทัพ ทัพคราวนี้สำคัญอยู่ คนอื่นไม่เป็นที่ไว้ใจ เจ้าไปคงกระทำการสำเร็จตามประสงค์ของข้า’…รับสั่งต่อไปว่า กระบี่นี้ให้ถือว่าตัวข้าไปกะเจ้าด้วย สิ่งใดควรทำสำเร็จ ก็ทำไปโดยไม่ต้องบอกเข้ามาให้วุ่นวาย แล้วกลับมาบอกทีหลังก็ได้ ขอให้เจ้าจงมีชัยต่ออริราชศัตรูด้วยประการทั้งปวงเสร็จแล้วก็เสด็จขึ้น[จัดย่อหน้าใหม่ โดยกองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม]

ถึงตรงนี้ หลักฐานแวดล้อมต่างๆ ก็บ่งชี้จนวิภัส เลิศรัตนรังษีแน่ใจว่า สาย สิงหเสนี ก็คือพระพิเรนทรเทพที่ตามหานั่นเอง แต่ก็ต้องยอมรับว่ายังไม่สามารถหาหลักฐานอื่นๆ มายืนยันเรื่องการฝึกดำน้ำได้จริงๆ ส่วนเหตุผลในการเลือก สาย สิงหเสนี เป็นแม่ทัพเพราะชาติตระกูลและความไว้วางใจ แม้จะเป็นการให้เหตุผลที่ฟังขึ้นในกรอบความคิดของยุคสมัยนั้นก็จริง แต่ก็น่าจะมีเหตุผลอื่นๆ ประกอบอยู่ด้วย

นั่นคือจะเป็นไปได้หรือไม่ว่าในช่วง 1 เดือนที่ สาย สิงหเสนี อยู่ร่วม “พื้นที่-เวลา” เดียวกับเรือปืนลูตังนั้น เขาได้แสดงความรักชาติบ้านเมืองอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมาจริงๆ จึงทำให้ชื่อของเขาโดดเด่นขึ้นมาในช่วงเวลาเดียวกับที่รัฐบาลกำลังสรรหาตัวบุคคลเป็นแม่ทัพออกไปช่วยรบทางแม่น้ำโขงพอดี?

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่ 


หมายเหตุ : บทความนี้เขียนเก็บความจาก วิภัส เลิศรัตนรังษี. “‘พระพิเรนทร์’ คนไหนที่ ‘เล่นพิเรนทร์’ ” ใน, ศิลปวัฒนธรรม, กรกฎาคม 2564.


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 10 พฤษภาคม 2566