การกลับมาของ “ออเจ้า” สรรพนามที่พูดกันอย่างติดปาก ใช้อย่างไรกัน?

"ออเจ้า" ทั้งหลายในงานฉายภาพยนตร์ “บุพเพสันนิวาส 2” รอบกาล่า ที่พารากอนซินิเพล็ค 25 กรกฎาคม 2565

ละครดัง “บุพเพสันนิวาส” ได้เคยสร้างกระแสไม่ใช่เพียงแค่ผู้คนจำนวนมากให้ความสนใจเดินทางไปเยี่ยมชมโบราณสถานในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา แต่ยังมีคำพูดฮิตที่พูดกันอย่างติดปากว่า “ออเจ้า” ในกลุ่มเด็กวัยรุ่น แม้กระทั่งผู้ใหญ่ แม่ค้าในตลาดก็เรียก “ออเจ้า” กันเล่นอย่างสนุกสนาน

ภาพฉากตอนหนึ่งในละคร “บุพเพสันนิวาส” ออกอากาศทางช่อง 3

การเตรียมเข้าฉายของภาพยนตร์ “บุพเพสันนิวาส 2” ทุกโรงภาพยนตร์ทั่วสยามประเทศ ในวันที่ 28 กรกฎาคมนี้ น่าจะทำให้กระแส “ออเจ้า” กลับมาฮิตติดปากกันอีกครั้ง “ออเจ้า” สรรพนามที่พูดกันอย่างติดปากเข้าใจว่าเป็นสรรพนามเรียกแทนบุคคลหนึ่ง แท้จริงแล้วคำว่า “ออเจ้า”” ใช้อย่างไรกัน?

นายบุญเตือน ศรีวรพจน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านอักษรศาสตร์ กรมศิลปากร ได้เคยให้ความเห็นเกี่ยวกับสรรพนาม “ออเจ้า” นี้ไว้ว่า ในอักขราภิธานศรับท์ของหมอบรัดเลย์ ซึ่งพิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อพุทธศักราช 2416 ระบุไว้ว่า “ออเจ้า” เป็นคำที่ผู้ใหญ่ใช้เรียกผู้น้อยแต่ในบทเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนพลายแก้วแต่งงานกับนางพิมพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย กล่าวถึงตอนนางทองประศรี (มารดาของพลายแก้ว) นำผู้ใหญ่ไปสู่ขอนางพิมพิลาไลยกับนางศรีประจัน (มารดาของนางพิม) ใช้ “ออเจ้า” เป็นสรรพนามบุรุษที่ 2 (แทนนางศรีประจัน) กับบุคคลระดับเดียวกันและใช้ “ออ” นำหน้าชื่อเป็นสรรพนามบุรุษที่ 3 เรียกพลายแก้วว่า “ออแก้ว” ดังในบทเสภาว่า

จะขอพันธุ์ฟักแฟงแตงน้ำเต้า ที่ออเจ้าไปปลูกในไร่ข้า แต่ยากยับอับจนพ้นปัญญา จะมาขายออแก้วให้ช่วงใช้ อยู่รองเท้านึกว่าเอาเกือกหนัง ไม่เชื่ีอฟังก็จะหาประกันให้

จะเห็นว่า “ออเจ้า” ใช้กับบุคคลที่เสมอกันไปจนถึงบุคคลที่ต่ำกว่า และ “ออแก้ว” ซึ่งหมายถึงพลายแก้วเป็นบุรุษที่ 3 (บุคคลที่ถูกกล่าวถึง) จากตัวอย่างที่กล่าวข้างต้น“ออเจ้า”และ “ออ” ใช้ได้กับเพศหญิงและเพศชาย เช่น ออแก้ว ออพิม เป็นต้น

 


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 26 กรกฎาคม 2565