คำกราบทูลแสดงภักดีจิต ของคณะสงฆ์วัดราชบพิธ ต่อเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ใหม่

สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ ๒๐ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

คำกราบทูลแสดงภักดีจิต ของ พระพรหมมุนี ในนามคณะสงฆ์วัดราชบพิธ ต่อเจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

ณ พระอุโบสถวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม วันอาทิตย์ ที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๖๐

Advertisement

กราบทูลทราบฝ่าพระบาท

เกล้ากระหม่อม ในนามคณะสงฆ์วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ผู้รับฉันทานุมัติมาสู่มหาสันนิบาต เฉพาะพระพักตร์แห่งเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ใหม่ ผู้เพิ่งได้ทรงรับพระราชทานมูรธาภิเษกาภิสิต ทศมนริศรราชโองการประกาศ อนุสนธิพระราชศรัทธาปสาทะแห่งสมเด็จบรมบพิตร พระราชสมภารเจ้า ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ เกิดมหาสังฆานุโมทนา ตลอดทั่วไทยรัฐสีมามณฑล รู้สึกเอิบอิ่มดวงกมล ในมหุดิฤกษ์มงคลสมัยในวาระนี้

เมื่อ ๗๐ ปีล่วงแล้ว สามเณรรูปหนึ่งจากจังหวัดราชบุรี ได้เข้ามาสู่บารมีพระมหาเถระรูปหนึ่ง ซึ่งสถิต ณ พระอารามหลวงกลางพระมหานคร ด้วยความเมตตาชักพาของเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธปาพจนบดี พระอารามนี้ ธรรมิกมหาราชาธิราชเจ้าแห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ทรงสถาปนา มีเจ้าอาวาสทุกยุคผู้ทรงกัลยาณประวัติจรัสเจริญ เป็นที่สรรเสริญพระคุณานุคุณ เป็นทุนแห่งภูมิประวัติ ฉายชัดกระทั่งปัจจุบัน

สามเณรรูปนั้น ณ วันนั้น คงไม่คาดฝันเป็นแน่แท้ว่า ณ วันนี้บัดนี้ จะได้เป็นทุนแห่งภูมิประวัติของวัดสืบไปตราบหน้า คงไม่ได้มาดหมายว่า จักต้องรับสมมติสัจจะ โดยสภาวะอันมีและอันเป็นเฉกเช่นไร

หากปรมัตถสัจจนัยอันเกรียงไกรปรากฏ สามเณรนั้นได้เติบใหญ่เป็นพระภิกษุผู้เรียบร้อยหมดจด ทรงอุดมปาพจน์เป็นประทีปสว่างไสว เคร่งครัดพระธรรมวินัยไม่ด่างพร้อย เป็นที่พึ่งของผู้น้อยผู้อยู่ใต้สมณาณัติ เป็นผู้ทรงศีลาจารวัตรวิปัสสนสุนทร เป็นศรีแห่งพระบวรพุทธศาสนา สมสมมติสัจจะแห่งพระมหาเปรียญ พระราชาคณะ สมเด็จพระราชาคณะ และพระผู้มีภารธุระอันดำเนินไปเป็นลำดับทุกขณะ ทุกวิสัยสภาวะโดยมหาเถรกรณธรรม

ส่วนสมมติสัจจะอันกล่าวนำประกอบไว้ ชอบที่จะตามเฉลยนัยสนองความ ได้แก่ พระอารามนั้น คือวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม

พระมหากษัตริย์เจ้าพระองค์นั้น คือพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระปัยกาธิราชของสมเด็จบรมบพิตร พระราชสมภารเจ้า ผู้มีพระราชโองการ

อดีตเจ้าอาวาสผู้ทรงพระกิตติยศฦๅชานั้น คือพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า สกลมหาสังฆปริณายกพระองค์ที่ ๑๑

อดีตเจ้าอาวาสอีกพระองค์หนึ่งผู้ทรงชุบเกล้าสามเณรรูปนั้น ก็คือสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (วาสนมหาเถร) สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกพระองค์ที่ ๑๘

และเมื่อสามเณรรูปนั้นทรงรัตตัญญูอยู่เนิ่นไป ก็คือฝ่าพระบาท สกลมหาสังฆปริณายกพระองค์ที่ ๒๐ ผู้ทรงเป็นหลักชัยคุ้มชีวิตคณะสงฆ์วัดราชบพิธทั้งมวล

หวนระลึกก่อนบัดนี้ ความสวามิภักดิ์จงรักบูชาที่เคยมา ต่อปรมัตถสัจจะตามความงามและความดี ที่คณะสงฆ์มีต่อฝ่าพระบาทเป็นฉันใด ตราบวันนี้ต่อเมื่อหน้าไป ก็ย่อมยังคงดำเนินไปฉันนั้นไม่ผันแปร

ส่วนความสวามิภักดิ์จงรักแน่แท้ต่อหน้าที่ ซึ่งเคยมีต่อสมเด็จเจ้าอาวาส โดยสมมติสัจจะแห่งสมณฐานันดร ที่คณะสงฆ์เคยมีต่อฝ่าพระบาทฉันใด ตราบวันนี้เมื่อหน้าต่อไป คงจักไม่เหมือนเดิม หากจักยิ่งเพิ่มไพบูลย์พูนทวีขึ้นกว่านั้น ด้วยความมุ่งมั่นพร้อมพรักสามัคคี ที่จะสนองพระกิจจานุกิจของฝ่าพระบาท ผู้ทรงสถิตที่สมเด็จพระสังฆราช ให้ทรงเบาพระทัยไกลอนิฏฐารมณ์อย่างสุดเกล้าสุดกำลัง

บรรดาภิกษุวัดราชบพิธทุกรูป ขอรับประทานพรข้อหนึ่ง ซึ่งเป็นความมุ่งหมายสูงสุด คือขอฝ่าพระบาท ทรงรักษาพระอนามัยให้ยิ่งเข้มแข็งมั่นคง เพื่อเสด็จสถิตธำรงในสุขุมธรรมวิธาน ทรงเป็นพุทธบริษัทคารวสถานอันร่มเย็น อยู่เช่นนี้ ตราบเท่าที่ชีวิตของปวงเกล้ากระหม่อมผู้เป็นบรรพชิตในพระอาราม จักสิ้นความเป็นไปแล้วทุกรูปทุกคน

ทีฆายุโก โหตุ วีสติมสงฺฆราชา

ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด

——————————————
ข้อมูลจาก : Chachapon Jayaphorn

ภาพถ่ายโดย : Aksorn Pichai