ผู้เขียน | จักรมนตรี ชนะพันธ์ |
---|---|
เผยแพร่ |
ข้าวจี่ เป็นอาหารที่อยู่คู่กับคนอีสานมาอย่างยาวนานตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ชาวอีสานทั่วไปนิยมรับประทานข้าวจี่เป็นอาหารว่างในตอนเช้า โดยเฉพาะช่วงฤดูหนาว
เวลานวดข้าวที่ลาน ชาวบ้านตามละแวกคุ้มพากันมานั่งล้อมวงผิงไฟ นำข้าวเหนียวใหม่ที่นึ่งสุกมาปั้นขนาดเท่ากำมือ นำไม้มาเสียบตรงกลางตามยาวของปั้นข้าวเหนียว นำไปจี่ไฟอ่อนๆ ให้เกรียมพอเหมาะ จากนั้นนำข้าวจี่มาจุ่มไข่ไก่ที่ปรุงรสแล้ว เอาไปจี่ไฟอีกครั้งให้สุกพอประมาณ ข้าวจี่ที่ทำจากข้าวเหนียวใหม่จะมีกลิ่นหอมชวนรับประทาน และข้าวจี่เป็นอาหารที่ชาวอีสานทำเพื่อเป็นเสบียง สำหรับเวลาต้องเดินทางไกลหรือเวลาไปเลี้ยงสัตว์ตามท้องทุ่งนา ชาวบ้านจะนิยมห่อข้าวจี่ไปรับประทานด้วย เนื่องจากข้าวจี่เป็นอาหารที่สามารถเก็บไว้ได้นานตลอดทั้งวัน
การทำบุญข้าวจี่ในประเพณีฮีตสิบสองของภาคอีสาน มีคติความเชื่อทางพระพุทธศาสนามาจากอรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท โกธวรรคที่ 17 เรื่อง นางปุณณทาสี ความว่า ในสมัยพุทธกาล นางปุณณทาสีเป็นคนเข็ญใจ ได้ทำขนมแป้งจี่ถวายแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอานนท์เถระ ครั้นถวายแล้วจึงรับสั่งให้พระอานนท์ปูลาดอาสนะแล้วทรงประทับนั่งฉันท์ ณ ที่นางถวายนั้น เป็นผลให้นางเกิดปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง และเมื่อได้ฟังพระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ก็บรรลุโสดาบันปัตติผลด้วยอานิงสงฆ์ที่ถวายขนมแป้งจี่
จากเรื่องนี้ชาวอีสานได้นำมาเป็นคติความเชื่อว่า การถวายข้าวจี่นั้นจะได้อนิสงส์มาก ชาวอีสานรวมถึงชาวลาวที่อยู่ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง จึงพากันยึดถือปฏิบัติสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน เรียกว่า “บุญข้าวจี่หรือบุญเดือนสาม” จัดอยู่ในช่วงเดือนปลายเดือนมกราคมถึงปลายเดือนกุมภาพันธ์
ดังที่ปราชญ์อีสานได้ประพันธ์ผญา (บทกลอน) เกี่ยวกับการทำบุญช่วงเดือนสามและเดือนสี่ในประเพณีฮีตสิบสองไว้ว่า “เถิงเมื่อเดือนสามค้อยเจ้าหัวคอยปั้นข้าวจี่ ตกเมื่อเดือนสี่ค้อยจัวน้อยเทศน์มัทรี” แปลว่า เมื่อถึงเดือนสามพระภิกษุสามเณรจะรอชาวบ้านทำบุญข้าวจี่ และเมื่อถึงเดือนสี่ (ช่วงเดือนมีนาคม) สามเณรจะเทศน์กัณฑ์มัทรีในงานบุญมหาชาติ
เมื่อถึงเดือนสามชาวบ้านจะประชุมกันเพื่อนัดวันทำบุญ โดยส่วนมากจะเลือกวันที่ตรงกับวันพระ เช่น เลือกวันมาฆบูชา (วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3) หรือหลังจากวันมาฆบูชาเป็นวันทำบุญข้าวจี่ เมื่อถึงวันทำบุญชาวบ้านจะลงมือจี่ข้าวตั้งแต่เช้าตรู่ โดยเอาข้าวเหนียวมาปั้นขนาดเท่ากำมือพอเหมาะ นำไม้มาเสียบตรงกลางตามยาวของปั้นข้าว นำไปจี่ไฟให้เกรียมอ่อนๆ ต่อมานำไข่ไก่ที่ปรุงรสด้วยเกลือมาทาให้ทั่ว แล้วนำไปจี่ไฟอีกครั้งจนสุกตามที่ต้องการ เสร็จแล้วก็นำมาถอดออกจากไม้เสียบและนำก้อนน้ำอ้อยยัดใส่ในรูตรงที่ไม้เสียบ จากนั้นนำข้าวจี่ไปยังอารามเพื่อทำบุญตักบาตรถวายข้าวจี่ มีการฟังพระธรรมเทศนา และพระสงฆ์อนุโมทนา เป็นอันเสร็จพิธีในการทำบุญ
ในปัจจุบันข้าวจี่ถือเป็นอาหารว่างที่ราคาไม่แพง มีขายตามท้องตลาดทั่วไปทั้งในภาคอีสานและในกรุงเทพฯ ขายคู่กับหมูปิ้งหรืออาหารว่างอย่างอื่นเป็นอาหารในชั่วโมงเร่งด่วน รับประทานง่าย อร่อย ดังนั้น จะเห็นได้ว่าข้าวจี่นอกจากเป็นอาหารที่ชาวอีสานทำขึ้นเพื่อการทำบุญและนิยมทำรับประทานแล้ว ยังเป็นอาหารที่ผู้บริโภคทั่วไปสามารถรับประทานได้อีกด้วย
อ่านเพิ่มเติม :
- “หมาน้อย” ไม่ใช่ “หมาตัวเล็ก” แต่เป็นจานเด็ดของอิสาน
- ความหลากหลายในสูตร “แกงเปอะ” หรือ แกงหน่อไม้ อาหารอีสานรสชาติแซ่บ
- ปรัมปราจาก “ป่าขนม” ความสัมพันธ์ของ ข้าวเหนียว-ข้าวเจ้า กับขนมไทยในยุคโบราณ
สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่
อ้างอิง :
สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคอีสาน. กรุงเทพฯ : มูลนิธิสารานุกรมวัฒนธรรมไทย ธนาคารไทยพานิชย์, 2542.
อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท โกธวรรคที่ ๑๗ เรื่องนางปุณณทาสี. (2548). (ออนไลน์).http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=27&p=6
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 2 กุมภาพันธ์ 2560