“เขาไกรลาส” ยังทรุด ยังเอียงได้ เทพก็ตะลึง เขาที่สถิตของพระอิศวร “ชำรุด” ได้อย่างไร?

เขาพระสุเมรุ สมุดภาพไตรภูมิ เขาไกรลาส
เขาพระสุเมรุ ในสมุดภาพไตรภูมิ

“เขาไกรลาส” ยอดเขาที่สถิตของพระอิศวร เคยตกอยู่ในสภาพ “ชำรุด” มาก่อน?

วรรณกรรมที่ยิ่งใหญ่ซึ่งปรากฏขึ้นในประวัติศาสตร์มวลมนุษยชาติมีหลากหลายเรื่อง ปฏิเสธได้ยากว่าเรื่อง “รามายณะ” มิได้เป็นเพียงวรรณกรรมสำคัญสำหรับชาวอินเดีย แต่ยังเป็นมรดกสำคัญของโลก แม้ว่าเนื้อหาและรายละเอียดจะผสมปนเปและถูกปรับแต่งเรื่อยมาตามยุคสมัย แต่เนื้อหาบางส่วนก็ยังน่าสนใจ สำหรับคนไทยแล้ว ส่วนใหญ่รู้จักกันในชื่อ “รามเกียรติ์”

เป็นที่รับรู้กันดีว่า ผู้แต่งรามายณะ ตามประเพณีที่เชื่อกันมาคือ “ฤาษีวาลมีกิ” แต่รายละเอียดปลีกย่อยอื่นๆ บางส่วนนั้น สันนิษฐานกันว่าอาจถูกแต่งขึ้นในภายหลัง เนื้อหาของเรื่องที่ตกทอดกันมาก็มีหลายฉบับและแตกต่างกันออกไป สำหรับในไทยแล้ว มีบันทึกไว้ว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1 โปรดฯ ให้กวี นักปราชญ์ราชบัณฑิตประชุมกันแต่งบทละครเรื่องรามเกียรติ์ เมื่อ พ.ศ. 2340 หลังปราบดาภิเษก 15 ปี

เนื้อเรื่องในวรรณคดี “รามเกียรติ์” ฉบับที่คนไทยคุ้นเคยกันเอ่ยถึงสถานที่อย่าง “เขาไกรลาส” ยอดเขาซึ่งเป็นที่สถิตของพระอิศวร หรือพระศิวะ ในเนื้อเรื่องจากบทละครรามเกียรติ์ เขาไกรลาสก็เคยตกอยู่ในสภาพ “ชำรุด” มาก่อน

ครั้งหนึ่งเกิดขึ้นด้วยฝีมือยักษ์นามว่า วิรูฬหก ซึ่งเข้าเฝ้าพระอิศวรปีละ 7 ครั้ง วันหนึ่งวิรูฬหกเข้าเฝ้าพระอิศวร ขณะเดินขึ้นบันได วิรุฬหกหมอบกราบทุกขั้นด้วยความเคารพเนื่องจากคิดว่าพระอิศวรเสด็จออกมาพบอสูรเทวาที่มาเข้าเฝ้า แต่แล้วก็ปรากฏตุ๊กแกชะโงกหัวโผล่ออกมาล้อเลียนเย้ยวิรูฬหกทุกๆ ก้าวที่เดินขึ้นบันได วิรูฬหกโกรธมากจึงนำสังวาลวิเศษขว้างใส่

ผลการขว้างกระทบทำให้เขาไกรลาสทรุด กล่าวภาษาชาวบ้านง่ายๆ อีกสำนวนว่า ที่สถิตของพระอิศวรชำรุด ถึงขนาดต้องหาคนมายกเขาไกรลาส ครั้งนั้นผู้มายกเขาไกรลาสให้คือ ทศกัณฐ์

ใจความในบทละครรามเกียรติ์ช่วงที่กล่าวถึงวิรูฬหก ตอนหนึ่งมีเนื้อหาว่า

” ๏ (วิรูฬหก)มาถึงสถานไกรลาส   อันโอภาสดั่งชั้นดุสิต

พอพระศิวะอิศโรโมลิศ   สถิตอยู่ยังที่ไสยา

พญามารย่างขึ้นอัฒจันทร์   สำคัญว่าบรมนาถา

เสด็จออกอสูรเทวา   ในมุขมหาพิมานชัย

ก็น้อมเศียรนบนิ้วบังคมคัล   ทุกขั้นอัฒจันทร์หาเว้นไม่

ค่อยยอบหมอบกราบขึ้นไป   มิได้ดูองค์พระทรงญาณ ฯ

๏ อยู่ยอดภูผามาช้านาน   เห็นขุนมารเดินกราบบันได

ร้องว่าตุ๊กแกแล้วแลดู   ทำชูศีรษะเย้ยให้

ครั้นอสุระกราบลงทีไร   ก็ร้องไยไพลงมา ฯ

๏ เมื่อนั้น   จึ่งวิรูฬหกยักษา

เห็นสารภูดูหมิ่นอหังการ์   อสุรากริ้วโกรธคือไฟฟอน

แลไปไม่เห็นพระศุลี   บนที่เนาวรัตน์ประภัสสร

ก็ถอดสังวาลนาคอลงกรณ์   ขว้างด้วยฤทธิรอนขุนมาร ฯ

๏ ถูกเขาไกรลาสลั่นทรุด   สารภูสิ้นสุดสังขาร

มิได้เฝ้าองค์พระทรงญาณ   ก็กลับไปบาดาลพารา ฯ”

(คลิกอ่านเพิ่มเติมจาก : บทละครเรื่องรามเกียรติ์ สมุดไทยเล่มที่ 6)

อีกครั้งหนึ่งเกิดขึ้นเมื่อ รามสูร สู้รบกับ พระอรชุน เรื่องราวเกิดขึ้นในช่วงที่เทวดานางฟ้าออกมาฟ้อนรำ รามสูรเห็น “นางมณีเมขลา” ล่อแก้วจึงอยากได้มาครอง เหาะไปแย่งชิง แต่นางเมขลาทำท่ารำเลาะเลี้ยวไปทางซ้ายขวา รามสูรโกรธจึงขว้างขวานอันเป็นอาวุธคู่กายออกไปแต่ไม่โดน

เมื่อรามสูรเหาะมาพบพระอรชุนเหาะผ่านตัดหน้าไปจึงร้องถามทัก อธิบายความเนื้อหาในบทละครอีกแบบโดยง่ายได้ว่า “ไฉนเหาะผ่านโดยไม่ไว้หน้า ไม่รู้หรือว่าข้าเป็นใคร เดี๋ยวจะสั่งสอนให้”

ฝั่งอรชุน ได้ยินเช่นนี้ก็โกรธ จึงเอ่ยนามตัวเองและถามกลับว่า

“อันนามกรของเราหรือ ชื่อว่าอรชุนแกล้วกล้า เหาะมาโดยทางเมฆา ใช่ว่าเหยียบเศียรขุนมาร อันตัวของมึงนี้เป็นไฉน มาอวดฤทธิไกรกล้าหาญตัว” 

อธิบายความโดยง่ายคือ เราชื่ออรชุน เหาะผ่านมาเป็นธรรมดา ไม่ได้ไปเหยียบศีรษะท่าน ไฉนมากล่าวโอ้อวดเช่นนี้

เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ก็เข้าสู่ขั้นประลองกำลังกัน บทละครเรื่องรามเกียรติ์ ตอนนี้มีใจความว่า

๏ บัดนั้น รามสูรสิทธิศักดิ์ยักษี

ฟังพระอรชุนพาที โกรธดั่งอัคคีไหม้ฟ้า

กรกุมขวานเพชรกวัดแกว่ง ตาแดงเขม้นเข่นฆ่า

สำแดงแผลงฤทธิ์มหึมา ยักษาเข้าไล่รอนราญ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์พระอรชุนใจหาญ

รับรองป้องกันประจัญบาน เผ่นทะยานเข้าต่อกุมภัณฑ์ ฯ

๏ กรซ้ายจับเศียรอสุรา   กรขวาเงือดเงื้อพระขรรค์

กลอกกลับสัประยุทธ์พัลวัน เสียงสนั่นครั่นครื้นเมฆา ฯ

๏ บัดนั้น   จึ่งรามสูรยักษา

ประจัญกรรอนราญเทวา   โจนขึ้นเหยียบบ่าด้วยฤทธี ฯ

๏ ฉวยจับชฎาง่าขวาน   จะสังหารด้วยกำลังยักษี

พระอรชุนเรืองฤทธิ์ราวี   ก็สลัดอสุรีเสียทัน

แล้วโจนขึ้นเหยียบไหล่ยักษา   กรขวาก็ฟาดด้วยพระขรรค์

รามสูรรับรองป้องกัน   แล้วหันสลัดกระเด็นไป

พระอรชุนก็พลัดจากบ่า   ยักษาจับบาททั้งสองได้

ฟาดเข้ากับเหลี่ยมเมรุไกร   หวั่นไหวทั้งไตรโลกา ฯ

๏ อันเขาพระสุเมรุก็เอนทรุด   ด้วยฤทธิรุทรแกล้วกล้า

องค์พระอรชุนเทวา   ก็ม้วยมรณาทันที ฯ

๏ ครั้นว่าชนะแก่สงคราม   มีความชื่นชมเกษมศรี

แกว่งขวานปานแสงอสุนี   เหาะไปที่อยู่ด้วยว่องไว ฯ

๏ เมื่อนั้น   พระจอมไกรลาสเขาใหญ่

เห็นพระเมรุเอนเอียงลงไป   ตกใจตะลึงทั้งกายา ฯ

(คลิกอ่านเพิ่มเติมจาก : บทละครเรื่องรามเกียรติ์ สมุดไทยเล่มที่ 5)

อธิบายความได้ว่า อรชุนจับหัวรามสูร มือขวากำลังจะใช้พระขรรค์ฟันลงมา รามสูรสลัดตัวหลุดมาได้แล้วกระโดดเหยียบบ่าอรชุน เงื้อขวานจะฟันคอ แต่แล้วอรชุนก็สลัดมาได้เช่นกัน

คราวนี้เป็นทีของอรชุนกระโดดขึ้นเหยียบไหล่รามสูร แต่คู่ตรงข้ามก็มีฝีมือหลบหลีกไม่เบาเช่นกัน ทำให้อรชุนเสียหลัก ตกจากบ่ารามสูรในสภาพคว่ำหน้า รามสูรเห็นดังนั้นก็คว้าข้อเท้าเหวี่ยงอรชุนฟาดกับเขาพระสุเมรุจนอรชุนสิ้นใจ แรงกระแทกพลอยส่งผลให้พระสุเมรุ “ทรุดเอน” จนพระอิศวร “ตกใจตะลึง” และสั่งให้เหล่าเทพมาช่วยกันฉุดให้ตรงตามเดิม

ทั้งนี้ เขาพระสุเมรุ ถูกวิเคราะห์ไว้ว่าคำว่า เมรุ แปลว่า ภูเขา

ส่วน ‘สุ’ แปลว่า ดีงาม จึงมีข้อสันนิษฐานว่า สุเมรุน่าจะหมายถึงเขาไกรลาส

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 17 พฤศจิกายน 2563