ผู้เขียน | นางสาวณัฐธิดา ทองเกษม |
---|---|
เผยแพร่ |
เมื่อถึงวันเพ็ญเดือนสิบสองเป็นที่ทราบดีว่า“งานลอยกระทง” จะถูกจัดขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงกันทั่วทั้งประเทศ โดยแต่ละจังหวัดจะสรรหาเรื่องราวต่างๆในท้องถิ่นมาเป็นจุดขายเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลดังกล่าว อาทิเช่น งานเผาเทียนเล่นไฟ จ.สุโขทัย งานยี่เป็ง จ.เชียงใหม่ งานล่องสะเปา จ.ลำปางตลอดจนงานลอยกระทงสาย จ.ตาก เป็นต้น
จุดเด่นของเทศกาลดังกล่าวนอกจากจะลอยกระทงเพื่อขอขมาพระแม่คงคาแล้ว อีกกิจกรรมหนึ่งที่ขาดไม่ได้ นั่นก็คือ “การประกวดนางนพมาศ” ที่บรรดาหญิงสาวแรกรุ่นต่างพากันแต่งชุดไทยโบราณเดินอวดโฉมกันบนเวทีให้เหล่าคณะกรรมการทำการตัดสิน แต่ในขณะเดียวกันการประกวดนางนพมาศของ จ.ลพบุรีกลับไม่ได้แต่งชุดไทยประกวดเหมือนกับจังหวัดอื่นๆ แล้วเหตุใดพวกเธอถึงมาใส่ชุดในยุคจอมพล ป. พิบูลสงคราม มาประกวดกัน?
นางนพมาศ : จาก “สนมเอก” ในตำนาน สู่ “นางงาม” ทั่วทุกภูมิภาค
“นางนพมาศ” หรือที่รู้จักในนาม “ท้าวศรีจุฬาลักษณ์” ได้ปรากฏอยู่ในวรรณกรรมโดยอ้างอิงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในยุคสุโขทัย ซึ่งกล่าวไว้ว่าเป็นพระสนมเอกของกษัตริย์แห่งราชวงศ์พระร่วง ผู้เพียบพร้อมไปด้วยความงามและความสามารถ อีกทั้งยังมีความคิดสร้างสรรค์ในการประดิษฐ์กระทงรูปดอกบัวเนื่องในพระราชพิธีจองเปรียญลอยพระประทีปจนเป็นที่โปรดปรานของพระร่วงเจ้าอย่างมาก ถึงแม้ว่าในปัจจุบัน “นางนพมาศ” ยังคงเป็นที่ถกเถียงถึงการมีตัวตนตามประวัติศาสตร์จริงหรือไม่? แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า การรับรู้ของคนในสังคมไทย“นางนพมาศ คือ ผู้คิดค้นประดิษฐ์กระทง” ดังนั้นเมื่อพูดถึงงานลอยกระทงแล้ว จะไม่กล่าวถึงนางนพมาศเลยเห็นทีจะเป็นไปไม่ได้
อย่างที่ทราบกันดีว่าภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 รัฐบาล “คณะราษฎร” ได้ริเริ่มให้มีการประกวด “นางสาวสยาม” ครั้งแรกในปี พ.ศ.2477 ในงานฉลองรัฐธรรมนูญที่กรุงเทพ ถือเป็นการจุดกระแสความนิยมการจัดประกวดนางงามประจำจังหวัดและนางงามประจำอำเภอเกิดขึ้นในงานฉลองรัฐธรรมนูญตามต่างจังหวัด ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ได้รับความสนใจจากประชาชนจนสามารถดึงดูดคนมาเที่ยวชมงานได้อย่างมาก อีกทั้งยังได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลตามนโยบายสร้างชาติไทยสมัย “จอมพล ป.พิบูลสงคราม” เป็นนายกรัฐมนตรี ด้วยเหตุนี้จึงทำให้การจัดงานเทศกาลประจำปีอื่นๆของท้องถิ่นมักจะมีการประกวดนางงามเป็นกิจกรรมสำคัญในงานอยู่เสมอ
การประกวดนางงามในงานเทศกาลประจำปีได้เริ่มปรากฏในช่วงต้นทศวรรษ 2490 หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ไม่นาน รัฐบาลจึงริเริ่มนโยบายฟื้นฟูประเพณีไทยเพื่ออนุรักษ์สืบสานประเพณีที่เก่าแก่ให้คงอยู่และการจัดงานรื่นเริงก็จะช่วยบำรุงขวัญและกำลังใจให้กับคนในชาติได้อีกทางหนึ่งด้วย ดังนั้นในการจัดงานสงกรานต์ จึงได้มีการเพิ่มกิจกรรมการประกวด “นางสงกรานต์” ส่วนงานลอยกระทง ก็มีการจัดประกวด “นางนพมาศ” เพื่อสร้างสีสันและดึงดูดให้ผู้คนมาเที่ยวชมงาน
กำเนิดงานลอยกระทงเมืองลพบุรี : ทำไมต้องย้อนยุค จอมพล ป. พิบูลสงคราม ?
อาจกล่าวได้ว่า “จอมพล ป. พิบูลสงคราม” เป็น “วีรบุรุษแห่งเมืองลพบุรี” ก็ว่าได้ เพราะในปัจจุบันหน่วยงานภาครัฐ ผังเมือง และสิ่งปลูกสร้างแบบอาร์ตเดโค (Art Deco) อันเป็นสถาปัตยกรรมที่นิยมในยุคคณะราษฎรล้วนแล้วแต่เป็นมรดกตกทอดจากความพยายามปลุกปั้นให้เป็น “เมืองทหาร” ที่สำคัญของประเทศ ตั้งแต่ หลวงพิบูลสงคราม (ยศในขณะนั้น)ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหม จวบจนกระทั่งครองตำแหน่งนายกรัฐมนตรี การสร้างเมืองลพบุรีให้เป็นเมืองทหารนำมาซึ่งการวางผังเมือง การสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานศูนย์กลางทางการศึกษา การแพทย์ การคมนาคม และสวนสาธารณะเพื่อรองรับจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นจากการที่ข้าราชการทหารพาครอบครัวย้ายตามมาอาศัยอยู่ในเมืองลพบุรีด้วย ดังนั้นจึงมีการพัฒนาในด้านอื่นๆเพื่อรองรับความเจริญของชุมชนเมือง จนทำให้มีการขนานนามในยุคนั้นว่า “ลพบุรีเปรียบเสมือนเมืองหลวงแห่งที่ 2 รองจากกรุงเทพ” เพราะมีความทันสมัยตามแบบที่กรุงเทพมี ในขณะที่จังหวัดอื่นยังไม่มี อาทิเช่น
– โรงพยาบาลอานันทมหิดล โรงพยาบาลแห่งแรกของกองทัพไทย
– โรงภาพยนตร์ทหารบก โรงภาพยนตร์แห่งที่ 2 ของประเทศต่อจากศาลาเฉลิมกรุง
– สวนสัตว์ลพบุรี สวนสัตว์แห่งที่ 2 ของประเทศต่อจากสวนสัตว์ดุสิต (เขาดิน)
– รถราง ซึ่งเป็นจังหวัดเดียวในประเทศที่มีการใช้ระบบรถรางเหมือนที่กรุงเทพฯ
สำหรับงานลอยกระทงของ “จังหวัดลพบุรี” แต่เดิมถูกจัดขึ้นที่บริเวณสวนสัตว์ลพบุรี ซึ่งกิจกรรมภายในงานก็ไม่แตกต่างจากงานลอยกระทงในจังหวัดอื่นๆเท่าใดนัก จนกระทั่งในปี พ.ศ.2539 นายประเวศ พุ่มพวง นายกเทศมนตรีเมืองลพบุรีขณะนั้น ได้ริเริ่มให้มีการจัดงานลอยกระทงโดยได้นำภาพความทรงจำความรุ่งเรืองในอดีตยุคของจอมพล ป. พิบูลสงคราม มาเป็นจุดขายเพื่อสร้างเอกลักษณ์ที่แตกต่างในการส่งเสริมการท่องเที่ยว ภายใต้ชื่อ “งานลอยกระทงย้อนยุค จอมพล ป. พิบูลสงคราม” และได้ย้ายสถานที่มาจัดที่บริเวณ “วงเวียนศรีสุริโยทัย หรือ วงเวียนสระแก้ว” สวนสาธารณะที่สร้างขึ้นในยุคของจอมพล ป. พิบูลสงคราม โดยมีสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตรงกลางสระน้ำพุ ซึ่งในอดีตวงเวียนศรีสุริโยทัยยังเคยเป็น “อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยแห่งเมืองลพบุรี” อีกด้วย
วัตถุประสงค์ของการจัดงานนอกจากการอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีไทยแล้ว ยังเป็นการน้อมรำลึกถึงคุณงามความดีของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่ได้สร้างความรุ่งเรืองให้กับจังหวัดลพบุรีในหลายๆด้าน อาทิเช่น การทหาร การสาธารณสุข การศึกษา การวางผังเมือง และการคมนาคมขนส่ง โดยมีการจำลองบรรยากาศภาพแห่งความทรงจำที่เคยรุ่งเรืองในอดีตของเมืองลพบุรีในช่วงทศวรรษ 2480 เช่น รถราง รถสามล้อ ฯลฯ พร้อมกันนี้ยังเชิญชวนให้ผู้เข้าร่วมงานแต่งกายย้อนยุคในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งกิจกรรมภายในงานมีทั้งขบวนแห่ การแสดงรำวงย้อนยุค ประกวดกระทง และประกวดนางนพมาศ
มาลานำไทย : แฟชั่นสมัยใหม่ของท่านผู้นำ
ในช่วงทศวรรษ 2480 รัฐบาลภายใต้การนำของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ออกการประกาศใช้ “รัฐนิยม” ซึ่งเป็นนโยบายสร้างชาติเพื่อให้ทัดเทียมนานาอารยะประเทศ โดยเฉพาะฉบับที่ 10 ว่าด้วยเครื่องแต่งกาย “เหตุผลที่เราต้องปรับปรุงเครื่องแต่งกายให้เรียบร้อยดั่งที่ได้กล่าวไว้บ้างแล้วในเบื้องต้นย่อมเป็นอีกประการหนึ่งที่จะช่วยบำรุงจิตใจไปในตัวด้วย…” การออกประกาศดังกล่าวนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการแต่งกายของประชาชนโดยคำนึงถึงความเหมาะสมตามกาลเทศะ อาทิเช่น ผู้หญิงห้ามเปลือยอกหรือพันผ้ามัดอกเดินในที่สาธารณะ ผู้ชายห้ามนุ่งกางเกงแพรเมื่อเข้างานสังคม ฯลฯ
ขณะเดียวรัฐบาลได้ส่งเสริมให้คนไทยสวมหมวกเมื่อออกนอกเคหะสถาน หรือที่รู้จักในนโยบาย “มาลานำไทย” อันสะท้อนได้จากคำวิงวอนของท่านนายกรัฐมนตรีแด่พี่น้องสตรีไทยเรื่องการสวมหมวก ที่ถูกแจกจ่ายไปทั่วประเทศ ความตอนหนึ่งว่า “..สวมหมวกเพื่อส่งเสริมการสร้างชาติ ในหน้าที่สตรีไทยได้เด่นยิ่งขึ้น…” นอกจากนี้ยังได้ทำคู่มือให้คำแนะนำในการเลือกสวมหมวกแก่ประชาชนตามโอกาสต่างๆอีกด้วย
ด้วยเหตุที่ต้องการให้บรรยากาศภายในงานไปในทิศทางเดียวกัน คือ ย้อนยุคไปสมัยของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม การประกวดนางนพมาศ จึงได้กำหนดให้ผู้เข้าประกวดแต่งกายตามแบบรัฐนิยมของสตรียุคนั้น กล่าวคือ ใส่กระโปรง สวมหมวก และดัดผมลอน ซึ่งรูปแบบการแต่งกายดังกล่าวได้ปรากฏอยู่ในการแสดงพื้นบ้านของ จ.ลพบุรี ที่เรียกกันว่า “รำโทน” อันเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมการแต่งกายของผู้หญิงยุคจอมพล ป. พิบูลสงคราม ผ่านบทเพลง “ผู้นำของชาติ” ดังนี้
“เชื่อผู้นำของชาติ ประกาศทั้งชายและหญิง สตรีเอาไว้ผมยาว (ซ้ำ) ใส่หมวกรองเท้าให้ทันสมัย นุ่งถุงกระตุ้งกระติ้ง (ซ้ำ) มันน่ารักจริงยอดหญิงชาวไทย (ซ้ำ)”
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
การจัดงานลอยกระทงย้อนยุคจอมพล ป. พิบูลสงครามของ จ.ลพบุรี เป็นที่จับตามองและได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวเป็นอันดับต้นๆของประเทศ ถึงขนาดที่ว่าช่วงทศวรรษ 2540 การประกวดนางนพมาศของ จ.ลพบุรี ได้ถูกถ่ายทอดสดการประกวดในค่ำคืนวันลอยกระทงผ่านสถานีโทรทัศน์ช่องดังอีกด้วย แต่ทว่าในปีนี้ (พ.ศ.2563) เป็นครั้งแรกที่ได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบครั้งใหญ่ในรอบ 20 กว่าปี และไม่ได้มีการใช้ชื่อของจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นชื่องานอีกต่อไป แม้แต่ “มาลานำไทย” แนวคิดที่เคยถูกใช้เป็นชุดผู้เข้าประกวดนางนพมาศก็ถูกยกเลิกให้ไปสวมใส่ชุดไทยโบราณแทน
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม สถานที่ในการจัดงานดังกล่าว ก็ยังคงเป็นพื้นที่ทางประวัติศาสตร์อันเต็มไปด้วยความทรงจำในยุครุ่งเรืองของคณะราษฎร “วงเวียนศรีสุริโยทัย” อดีตอันเคยเป็นที่ตั้งของ “อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย” มรดกทางสถาปัตยกรรมชิ้นใหญ่ที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้มอบไว้ให้แก่คน “ลพบุรี” เพื่อเป็นพื้นที่สาธารณะให้ได้ใช้ประโยชน์กันเรื่อยมาจวบจนถึงปัจจุบัน
—————
อ้างอิง
(3) สร.0201.55/42 เรื่อง เบ็ดเตล็ดเรื่องวัฒนธรรม
ชาตรี ประกิตนนทการ. ศิลปะ–สถาปัตยกรรมคณะราษฎร. กรุงเทพฯ: มติชน, 2563.
อัฐฐานิตย์ คะเชนทร์. การออกแบบผังเมืองสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม (พ.ศ.2475-2487): ลพบุรี, สระบุรี และเพชรบูรณ์. วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาศิลปสถาปัตยกรรม มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2558.
เผยแพร่เนื้อหาในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 31 ตุลาคม 2563