100 ปีหน้ากากซอร์โร วีรบุรุษผ้าคลุมยุคแรกที่ทำให้เกิดแบทแมน Zorro มีต้นตอจากไหน

ภาพถ่ายการซ้อมละครเวทีเรื่อง ซอร์โร ที่ Folies Bergeres ในฝรั่งเศส เมื่อ 4 พ.ย. 2009 ภาพจาก JACQUES DEMARTHON / AFP

ยากจะปฏิเสธได้ว่าตลอดทศวรรษที่ผ่านมาสื่อบันเทิงกระแสหลักในยุคสมัยใหม่เป็นยุคของซูเปอร์ฮีโร่อย่างแท้จริง แต่หากย้อนกลับไปเมื่อ 100 ปีก่อน วีรบุรุษใต้หน้ากากในชุดผ้าคลุมดำนามว่า ซอร์โร (Zorro) เพิ่งปรากฏสู่สายตาชาวโลกผ่านนิตยสาร ก่อนจะกลายเป็นไอคอนของวีรบุรุษปราบเหล่าร้ายซึ่งคนทั่วโลกรู้จักกันดีควบคู่ไปกับชื่อเสียงของฮีโร่ในผ้าคลุมอย่างซูเปอร์แมนและแบทแมนจากอเมริกันคอมิกในยุคต่อมา

บุรุษชุดผ้าคลุมที่มาพร้อมดาบคู่ใจปรากฏตัวครั้งแรกในเรื่องที่ใช้ชื่อว่า The Curse of Capistrano ในนิตยสารที่เผยแพร่สหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ. 1919 โดยนักเขียนอเมริกันนามว่าจอห์นสตัน แม็คคัลลีย์ เรื่องราวถูกเผยแพร่ติดต่อกัน 5 สัปดาห์

คาแรกเตอร์ของบุรุษใต้ผ้าคลุมที่ฟาดฟันดาบเพื่อปกป้องกลุ่มคนผู้ถูกกดขี่บุกเบิกเส้นทางอีกสายสำหรับซูเปอร์ฮีโร่ดังที่ศาสตราจารย์ สตีเฟ่น แอนเดส (Stephen Andes) นักประวัติศาสตร์อเมริกันซึ่งศึกษาประวัติศาสตร์และวรรณกรรมเกี่ยวกับตัวละครซอร์โรนี้แสดงความคิดเห็นว่า ซอร์โร เป็นต้นทางของนักสู้ในชุดผ้าคลุมก่อนหน้าที่จะมีซูเปอร์แมน หรือมนุษย์ค้างคาว

แม็คคัลลีย์ (1883-1958) ยังเขียนหนังสือเกี่ยวกับซอร์โร (คำว่าซอร์โร หมายถึงจิ้งจอกในภาษาสเปน) อีกประมาณ 60 เล่ม อย่างไรก็ตาม ต้นตอของคาแรกเตอร์นี้ก็ยังไม่แน่ชัด เนื่องจากแม็คคัลลีย์ ไม่เคยกล่าวอย่างชัดเจนถึงแรงบันดาลใจที่ทำให้เขาสร้างตัวละครนี้ขึ้นมาก่อนจะกลายเป็นวีรบุรุษคลาสสิกตลอดกาลอีกหนึ่งราย

เป็นที่ทราบกันดีว่าตัวละครซอร์โร ถูกเล่าว่าเขาคือ ดอน ดีเอโก เด ลา เวกา (Don Diego de la Vega) หนุ่มผู้ดีสเปนในศตวรรษที่ 19 เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อเขาเดินทางกลับมาที่แคลิฟอร์เนียหลังจากไปศึกษาที่สเปนก่อนที่จะพบว่าพื้นที่นั้นเต็มไปด้วยความฉ้อฉล

เมื่อเขาออกปฏิบัติการปกป้องคนอ่อนแอภายใต้ชุดผ้าคลุมและหน้ากากสีดำปกปิดครึ่งบนของใบหน้าพร้อมกับม้าคู่ใจสีดำชื่อทอร์เนโด (Tornado) เขามักใช้ดาบอาวุธประจำกายขีดเครื่องหมายตัว Z ลงบนวายร้ายที่ถูกพิชิตได้ ตัวตนที่แท้จริงของซอร์โร มีเพียงเบอร์นันโด คนรับใช้คนสนิทที่เป็นใบ้รู้ความจริงเพียงคนเดียว

ต้นตอของตัวละครนี้มีหลากหลายทฤษฎีด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการอ้างอิงตัวตนจริงของจอมโจรเม็กซิกันนามว่าโจอาควิน มูรีตา (Joaquin Murieta) ซึ่งก่อวีรกรรมเพื่อถอนแค้นให้กับเพื่อนร่วมชาติภายในพื้นที่แคลิฟอร์เนียช่วงศตวรรษที่ 19

อีกทฤษฎีหนึ่งก็สันนิษฐานว่า มาจากคาแรกเตอร์ในนวนิยายอิงประวัติศาสตร์เรื่อง Scarlet Pimpernel เป็นตัวละครที่เข้าช่วยเหลือกลุ่มผู้สนับสนุนการปกครองโดยชนชั้นสูงก่อนที่พวกเขาจะถูกส่งเข้าเครื่องกิโยตินในช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศส เรื่องราวนี้เขียนขึ้นโดยเอ็มมา ออร์กซีย์ (Emma Orczy) นักเขียนเชื้อสายบริติช-ฮังกาเรียน

อย่างไรก็ตาม เรื่องราวของวีรบุรุษกลับแพร่หลายจากการดัดแปลงมาสร้างเป็นภาพยนตร์ โดยหลังจาก The Curse of Capistrano เผยแพร่ 1 ปี เรื่องราวก็ถูกนำมาดัดแปลงสร้างเป็นภาพยนตร์เงียบชื่อ The Mark of Zorro นำแสดงโดยดักลาส แฟร์แบงก์ส (Douglas Fairbanks) นักแสดงฮอลลีวูดที่โด่งดังอย่างมากในยุคนั้น เวอร์ชั่นที่ได้รับความนิยมก็ยังมีซีรีส์โทรทัศน์ที่ผลิตโดยดิสนีย์ ฉาย 78 ตอนระหว่างปี 1957-1961 หลังจากนั้นเป็นต้นมาก็มีภาพยนตร์เกี่ยวกับวีรบุรุษนี้ไม่ต่ำกว่า 50 เรื่องรวมถึงเวอร์ชั่นอีโรติกด้วย

แม้แต่บ็อบ เคน (Bob Kane) นักเขียนชาวอเมริกันผู้สร้างแบทแมน ซูเปอร์ฮีโร่คลาสสิกตลอดกาลของโลกก็ให้เครดิตซอร์โร ว่าเป็นแรงบันดาลใจสำคัญของการสร้างสรรค์ตัวละครมนุษย์ค้างคาวในก็อทแธมที่ปรากฏสู่สายตาชาวโลกอีก 20 ปีต่อมา

ภาพยนตร์ที่แพร่หลายมากที่สุดในศตวรรษที่ 20 น่าจะเป็นฉบับที่แอนโตนิโอ แบนเดอราส (Antonio Banderas) แสดงร่วมกับ แคเธอรีน ซีตรา โจนส์ (Catherine Zeta-Jones) เข้าฉายเมื่อปี 1998 และมีสร้างภาคต่อชื่อ The Legend of Zorro เข้าฉายเมื่อปี 2005

ไม่ว่าต้นตอที่ทำให้ผู้เขียนสร้างสรรค์วีรบุรุษใต้ชุดคลุมดำนี้จะมาอย่างไร แต่จากการให้สัมภาษณ์ของผู้เขียนที่นิตยสารโอ๊คแลนด์ทริบูน (Oakland Tribune) เผยแพร่เมื่อ 1923 ผู้เขียนกล่าวไว้ว่า

“ตั้งใจให้ซอร์โร สื่อการแสดงออกถึงความเป็นนักรบ (หรืออัศวิน ในบทสัมภาษณ์ใช้คำว่า caballero) ในช่วงเวลานั้น และเพื่อทุกคนที่พึงพอใจกับสิ่งที่เขาได้กระทำ”  


อ้างอิง:

Claude CASTERAN, ‘Z’ for Zorro, 100 years on. AFP. Online. Published 4 AUG 2019. Access 8 AUG 2019. <https://japantoday.com/category/entertainment/’z’-for-zorro-100-years-on>

ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์. ตามหาการ์ตูน. กรุงเทพฯ : มติชน, 2546


เผยแพร่เนื้อหาในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 9 สิงหาคม 2562