เปิดบันทึกเหตุการตายคนโบราณ..ขาดอากาศขณะร่วมเพศ-ฝังทั้งเป็น-ย่องเบาแล้วตกที่สูง

1.รองเท้าส้นตึกทำให้ผู้สวมใส่เกิดอุบัติเหตุถึงแก่ชีวิต 18,983 คน ในช่วง 3 ทศวรรษที่ผ่านมา 2. ตั้งแต่ปี ค.ศ.1795 เรือเดินสมุทรขนาดใหญ่อับปางเพราะการโจมตีของปลาหมึกยักษ์ถึง 61,790 ลำ 3. คอร์เซ็ตส์ แฟชั่นที่ทำให้ผู้หญิงในศตวรรษที่ 18 เสียชีวิตเนื่องจากขาดออกซิเจน

นานามรณะ : สารานุกรมว่าด้วยความตายแบบต่างๆ และแบบที่คาดไม่ถึง เช่น แมลงสาป, การขาดอากาศหายใจจากกิจกรรมทางเพศ ฯลฯ

ย้อนกลับไปหลายศตวรรษก่อน แถบยุโรปเริ่มมีการสำรวจสำมะโนประชากร โดยชาวโรมันบันทึกการเกิดเพื่อดูว่าปีหนึ่งๆ มีประชากรเพิ่มขึ้นจำนวนเท่าไหร่ตั้งแต่ 440 ปีก่อนคริสตกาล แต่พวกเขากลับไม่ได้บันทึกว่าในปีต่อๆ มา จำนวนประชากรที่เคยบันทึกไว้ล้มหายตายจากไปเท่าไหร่ แบบสำรวจสำมะโนประชากรในยุคเริ่มแรกจึงยังไม่สมบูรณ์นัก

จนกระทั่งถึงกลางทศวรรษ 1600 จอห์น กรันต์ (John Gruant) เจ้าของร้านขายเครื่องแต่งกายชายและนักวิทยาศาสตร์สมัครเล่นชาวลอนดอน จึงเริ่มบันทึกข้อมูลการเสียชีวิตของผู้คนว่าตายอย่างไร และตายตอนอายุเท่าไหร่ เขาตีพิมพ์หนังสือออกมาในปี ค.ศ. 1662 โดยใช้ชื่อว่า Bills of Mortality (รายการจำนวนผู้เสียชีวิต)

ผลงานชิ้นนี้ถือว่าเป็นการบุกเบิกให้เริ่มมีการบันทึกสถิติเกี่ยวกับความตาย โดยกรันต์ใช้ Table of Casualties (ตารางผู้เสียชีวิต) จำแนกลักษณะการตาย ข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์ เรื่องราวย่อๆ เกี่ยวกับผู้ตาย รวมถึงการวิเคราะห์สาเหตุการตาย ย้อนหลังกลับไปถึง 250 ปี เทคนิคที่กรันต์ใช้รวบรวมข้อมูลเป็นต้นแบบของการสำรวจสำมะโนประชากรสมัยใหม่ ผลงานชิ้นนี้ทำให้พ่อค้าธรรมดาๆ อย่างเขาได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกบัณฑิตยสภาแห่งลอนดอนเลยทีเดียว

ในช่วงเดียวกับที่กรันต์เริ่มบันทึกสถิติการตาย พระและผู้ดูแลท้องที่ในอเมริกายุคล่าอาณานิคมก็เริ่มบันทึกข้อมูลการเกิด แต่งงาน และการตายของประชากรตั้งแต่ปี ค.ศ. 1632 เช่นกัน แต่วิธีการบันทึกของพวกเขายังไม่สมบูรณ์ ทำให้การระบุสาเหตุการตายไม่ถูกต้องนัก จนกระทั่งระหว่างปี ค.ศ. 1700-1910 จึงเริ่มมีการใช้เทคนิคการบันทึกเช่นเดียวกับฐานข้อมูลของกรันต์

แม้ว่าจะไม่สามารถจำแนกลักษณะอาการโรคต่างๆ ได้ละเอียดเหมือนในปัจจุบัน แต่บันทึกสถิติการตายนี้ก็เป็นประโยชน์ในวงการแพทย์อย่างมาก แพทย์สามารถวินิจฉัยอาการของผู้ป่วยได้จากบันทึกของคนรุ่นก่อน เช่น ไข้หวัดใหญ่ซึ่งเป็นสาเหตุการตายหลักของประชากรในยุคล่าอาณานิคม สามารถอธิบายการสูญพันธุ์ของเชื้อโรคหลายชนิดได้ ไม่เพียงเท่านั้น บันทึกสถิติการตายเหล่านี้ยังเป็นประวัติศาสตร์อันทรงคุณค่า ทำให้เรารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในวาระสุดท้ายของบุคคลที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ ยกตัวอย่าง เช่น

นโปเลียน โบนาปาร์ต (Napoleon Bonaparte) กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของฝรั่งเศส จากการตรวจสอบเส้นผมของนโปเลียนในทศวรรษ 1960 พบว่ามีสารหนูปนเปื้อนอยู่ นักประวัติศาสตร์จึงลงความเห็นว่า นโปเลียนน่าจะถูกอังกฤษวางยาพิษตอนที่ตกเป็นเชลย ทว่า ในทศวรรษ 1980 มีการตรวจสอบพบว่านโปเลียนเสียชีวิตเพราะสารหนูในวอลล์เปเปอร์ เนื่องจากสีย้อมวอลล์เปเปอร์มีสารบางอย่างที่จะทำปฏิกิริยาเคมีกับความชื้นและรา จากนั้นจะปลดปล่อยสารหนูออกมา ซึ่งเป็นเหตุให้พระองค์ถึงแก่ความตาย

ไทโค บราห์ (Tycho Brahe) นักดาราศาสตร์ชาวเดนมาร์กในศตวรรษที่ 16 ซึ่งในยุคนั้นเป็นที่รู้กันว่าการลุกจากโต๊ะอาหารก่อนถือเป็นเรื่องน่ารังเกียจ ในงานเลี้ยงแห่งหนึ่งบราห์ดื่มเครื่องดื่มเข้าไปมาก แต่อายเกินกว่าจะขออนุญาตเข้าห้องน้ำ กระเพาะปัสสาวะจึงทำงานหนักเกินขีดจำกัด เป็นเหตุให้กระเพาะปัสสาวะแตกและเขาต้องทนทรมานอีก 11 วัน จนกระทั่งถึงแก่ความตาย

สารานุกรมนานาความตาย ของ ไมเคิล ลาร์โก

ผ่านมาหลายร้อยปี บันทึกสถิติความตายยังเป็นสิ่งที่ไม่ได้ตีพิมพ์เผยแพร่ในวงกว้าง แต่ใช้เพื่ออ้างอิงในทางการแพทย์และในการทดลองทางวิทยาศาสตร์ รวมถึงในการสำรวจสำมะโนประชากรเท่านั้น ทว่า ในปี ค.ศ. 2006 ไมเคิล ลาร์โก (Michael Largo) นักเขียนชาวอเมริกันก็ตีพิมพ์ Final Exits : The illustrated Encyclopedia of How We Die (ทางออกสุดท้าย : สารานุกรมภาพประกอบว่าเราตายได้อย่างไร) สารานุกรมเกี่ยวกับความตายเล่มแรก ที่มีทั้งภาพประกอบ ข้อมูล และสถิติ ว่าด้วยสาเหตุความตายแบบต่างๆ ทั้งการตายแบบปกติวิสัย เช่น เจ็บไข้ได้ป่วย หรืออปกติวิสัย เช่น อุบัติเหตุ การฆาตกรรม

ลาร์โกใช้เวลายาวนานกว่าทศวรรษในการรวบรวมข้อมูลจากบันทึกทางการแพทย์ เอกสารเก่าแก่อายุหลายร้อยปี ข่าวมรณกรรม ชีวประวัติบุคคล ผลงานของนักบันทึกสถิติรุ่นก่อน ฯลฯ

นักวิจารณ์หลายคนยกย่องหนังสือเล่มนี้ว่าเป็นสารคดีชวนหัวที่ให้สาระ และเป็นหนังสือที่เหมาะสำหรับมนุษย์ทุกคนที่ไม่ได้เป็นอมตะ นอกจากนี้เรื่องราวเกี่ยวกับความตายที่ชวนสยองยังทำให้สารคดีเรื่องนี้ยังได้รับรางวัล บราม สโตกเกอร์ (The Bram Stoker Award) ซึ่งเป็นรางวัลที่ตั้งเป็นเกียรติแก่ บราม สโตกเกอร์ ผู้เขียนนวนิยายสยองขวัญเรื่อง แดร็กคิวล่า อีกด้วย

เนื้อหาในหนังสือแบ่งออกเป็นตอนๆ ไล่เรียงตั้งแต่ตัวอักษร A-Z บอกเล่าสารพันความตาย ความเป็นมาของสาเหตุเหล่านั้น ทั้งที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ จากสัตว์ สิ่งประดิษฐ์ และโรคภัยต่างๆ ของมนุษย์ นอกจากนี้ยังยกตัวอย่างสถานการณ์ที่เคยเกิดขึ้นจริง ทั้งที่เคยเกิดในอดีตและปัจจุบัน และให้ข้อมูลสถิติผู้เสียชีวิตในแต่ละปี โดยเน้นสถิติในอเมริกา ลองดูตัวอย่างสาเหตุการตายที่ลาร์โกรวบรวมไว้ ซึ่งการตายบางอย่างก็เป็นสิ่งที่เราพบเจอเป็นประจำในข่าวภาคค่ำ แต่การตายบางอย่างก็เป็นเรื่องที่ทำให้เราแทบไม่อยากเชื่อว่าเหตุใดมนุษย์จึงถูกปลิดลมหายใจง่ายดายถึงเพียงนี้

1.รองเท้าส้นตึกทำให้ผู้สวมใส่เกิดอุบัติเหตุถึงแก่ชีวิต 18,983 คน ในช่วง 3 ทศวรรษที่ผ่านมา 2. ตั้งแต่ปี ค.ศ.1795 เรือเดินสมุทรขนาดใหญ่อับปางเพราะการโจมตีของปลาหมึกยักษ์ถึง 61,790 ลำ 3. คอร์เซ็ตส์ แฟชั่นที่ทำให้ผู้หญิงในศตวรรษที่ 18 เสียชีวิตเนื่องจากขาดออกซิเจน

Aphrodisiacs – สารกระตุ้นกำหนัด ตั้งแต่ยุคกรีก-โรมันก็มีการค้นคว้าสารพิเศษที่จะช่วยกระตุ้นความต้องการทางเพศ  แม้แต่ฟากตะวันออกอย่างจีนก็มีความเชื่อว่าการกินสัตว์บางชนิดก็ช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางเพศได้เช่นกัน ปัจจุบันสารกระตุ้นเหล่านี้มีทั้งแบบกินและแบบฉีด ซึ่งถ้าใช้เกินขนาดก็อาจถึงตายได้ เช่น มีบันทึกว่าสารกระตุ้นกำหนัดที่เรียกว่า สแปนิช ฟลาย ซึ่งสกัดจากแมลงปีกแข็งชนิดหนึ่งที่พบในอเมริกาใต้และบางพื้นที่ในยุโรป หากใช้ยาอย่างต่อเนื่องจะส่งผลต่อกระเพาะอาหาร ลำไส้ และไต เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตจากการใช้สารชนิดนี้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1850 ถึงปัจจุบันกว่า 6,613 คน

Autocastration – การตอนตนเอง ในประเทศจีนสมัยโบราณมีการตัดอัณฑะของผู้ชายทิ้งเพื่อให้พวกเขาสามารถเข้าไปอยู่ในวังร่วมกับนางใน เราเรียกคนเหล่านี้ว่าขันที แม้แต่ในยุโรปทศวรรษ 1500 ก็มีการตอนชายหนุ่มที่ร้องเพลงในโบสถ์เพื่อให้ได้เสียงโซปราโน ปัจจุบันผู้ชายที่มีความรู้สึกเบี่ยงเบน แต่ไม่ได้มีฐานะพอที่จะเข้ารับการผ่าตัดในโรงพยาบาลก็พยายามหาวิธีตอนด้วยตนเอง ซึ่งน้อยรายที่จะประสบความสำเร็จ ส่วนใหญ่จะเสียชีวิตเพราะเสียเลือดและติดเชื้อ มีผู้ชายเสียชีวิตจากสาเหตุนี้ถึงปีละ 1,200 คน

Buried Alive – ถูกฝังทั้งเป็น แม้ว่าการถูกฝังทั้งเป็นจะเกิดขึ้นได้ยากในปัจจุบันซึ่งการแพทย์มีความก้าวหน้า แต่เมื่อหลายศตวรรษก่อนการถูกฝังทั้งเป็นน่ากลัวยิ่งกว่าการตายแบบอื่นๆ เมื่อคนไข้หยุดหายใจก็ไม่มีเครื่องมือแพทย์ที่ช่วยกระตุ้นหัวใจให้กลับมาเต้นเหมือนในปัจจุบัน แพทย์อาจลงความเห็นว่าคนไข้เสียชีวิต ทั้งๆ ที่พวกเขาอาจจะรู้สึกตัวอีก ทว่า ก็ต้องนอนอยู่ในโลงศพเสียแล้ว นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1750-1920 มีผู้เสียชีวิตจากการถูกฝังทั้งเป็นถึง 5,950 คน

Cat Burglar – นักย่องเบา ใครจะคิดว่านักย่องเบาทั้งหลายก็พลาดท่าได้เหมือนกัน หากไม่ระมัดระวังในการปีนป่ายขึ้นไปบนหลังคาหรือหน้าต่างชั้น 2 เพื่อโจรกรรมสิ่งของ ในปี ค.ศ. 2003 มีนักย่องเบาเสียชีวิตเนื่องจากเสียเลือดมากจากการถูกของมีคมบาดหรือตกจากที่สูงถึง 310,867 คน

Cockroaches – แมลงสาบ หลายคนคิดว่าแมลงสาบเป็นสัตว์ที่น่ารังเกียจ แต่ก็ไม่ได้ก่อให้เกิดอันตรายกับมนุษย์มาก นอกจากอาหารเป็นพิษ แต่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น แมลงสาบเป็นพาหะนำโรคร้ายแรงหลายชนิดทั้ง ไทฟอยด์ โปลิโอ ตับอักเสบ หากเราถูกแมลงสาบแทะ ในปี ค.ศ. 1999 มีผู้ติดเชื้อที่มีแมลงสาบเป็นพาหะถึง 4,657 คน

Erotic Asphyxiation – การขาดอากาศหายใจจากกิจกรรมทางเพศ เกิดจากการแขวนตัว หรือมีอะไรมารัดที่คอระหว่างปฏิบัติกิจกรรมทางเพศ มีชายหญิงหลายคนต้องจบชีวิตลง โดยสัดส่วนของผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เนื่องจากพวกเขาเชื่อตามเอกสารที่เขียนขึ้นตั้งแต่ยุคกลางของยุโรปและในประเทศฟากตะวันออกหลายประเทศว่า การหยุดลมหายใจหรือหยุดเลือดไม่ให้ไหลเวียนไปเลี้ยงสมองไว้ชั่วครู่จะทำให้ออร์กัสซั่มได้ดีขึ้น ในปี 2004 จึงมีรายงานการพบศพวัยรุ่นหญิงชาย เสียชีวิตในสภาพเปลือย ห้อยหัวลง มีสิ่งของกดทับที่หลอดลม หรือใช้ยากล่อมประสาทกว่า 1,214 คน

ใน Final Exits ลาร์โกรวบรวมสาเหตุการตายที่เกิดขึ้นกับคนทั่วโลกไว้กว่า 3,000 สาเหตุ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากข้อมูลใบมรณบัตรของคนอเมริกันในทศวรรษ 1700 ที่มีอยู่ราวๆ 100 สาเหตุเท่านั้น ข้อมูลนี้เป็นที่น่าตกใจและบ่งชี้ว่าการดำเนินชีวิตประจำวันของเราล้วนมีอัตราเสี่ยงเพิ่มขึ้น เพียงก้าวออกจากประตูบ้านเท่านั้น ความตายก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม

ทว่าลาร์โกก็ไม่ได้เพียงนำเสนอความบันเทิงในสารานุกรมความตายเท่านั้น แต่ยังส่งสัญญาณเตือนให้เราเตรียมพร้อมรับมือกับความตาย หากรู้ทางหนีทีไล่ เราก็จะไม่ประมาทและสามารถยืดชีวิตออกไปได้อีกนาน

 


อ้างอิง :

วารยา. “นานามรณะ: เมื่อฝรั่งเขียนสารานุกรมว่าด้วยความตายแบบต่างๆ”, ใน ศิลปวัฒนธรรม ฉบับเดือนมกราคม 2552.

Largo, Michael. Final Exits : The illustrated Encyclopedia of How We Die. Harper Collins, 2006.

_____. The Portable Obituary : How the Famous, Rich, and Powerful Really Died. Harper Collins, 2006.

www.answers.com

www.wikipedia.com


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 10 พฤศจิกายน 2561