พระพันปีหลวง ทรงหนุน “พระบำบัดสรรพโรค” ให้หญิงไทย “เลิกอยู่ไฟ”

พระบำบัดสรรพโรค
พระบำบัดสรรพโรค

สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงหนุนให้ “พระบำบัดสรรพโรค” หัวหน้าแผนกสูติศาสตร์ โรงพยาบาลศิริราช กระตุ้นให้หญิงไทยเลิก “อยู่ไฟ ตามธรรมเนียมโบราณ

พระบำบัดสรรพโรค ชื่อจริงว่า นายแฮนซ์ อดัมเซ็น (Hans Adamsen) เป็นลูกครึ่งเดนมาร์ก-มอญ เกิดที่อำเภอพระประแดง สมุทรปราการ ได้ไปเล่าเรียนที่อเมริกาจนสำเร็จวิชาการแพทย์จากมหาวิทยาลัยเจฟเฟอร์สัน จากนั้นใน พ.ศ. 2440 ที่พระบำบัดสรรพโรคเข้ารับราชการในกรมพยาบาล กระทรวงธรรมการ ได้เกิดกาฬโรคในพื้นที่ใกล้เคียงสยาม เช่น ฮ่องกง, ซัวเถา,  สิงคโปร์, ปีนัง ฯลฯ บ่อยครั้ง

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติจัดการป้องกันกาฬโรคขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. 2441 กำหนดให้เรือทุกลำที่มาจากเขตที่มีการระบาดของโรคจอดที่ด่านป้องกันโรค เกาะไผ่ (จังหวัดชลบุรี) เพื่อรอให้เจ้าพนักงานแพทย์ขึ้นไปตรวจ ก่อนที่จะอนุญาตให้ผ่านเข้ามาจอดในน่านน้ำไทย

คราวนั้น พระบำบัดสรรพโรคจึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นแพทย์ประจำด่านป้องกันโรค ได้รับพระราชทานเงินเดือน 1,800 บาท

สมัยเริ่มก่อตั้งโรงเรียนแพทย์ขึ้นที่ “โรงพยาบาลศิริราช” มี 3 อาจารย์ชาวต่างชาติที่สอนนักเรียนแพทย์ คือ พระบำบัดสรรพโรค, พระอาจวิทยาคม (Dr. George B. Mcfarland) และ หมอเฮส์ (Dr. Thomas Heyward Hays) โดยพระบำบัดสรรพโรครับหน้าที่สอนวิชาอายุรศาสตร์และสูติศาสตร์ และเพราะพระบำบัดสรรพโรคสามารถพูดภาษาไทยได้อย่างคล่องแคล่ว จึงได้แปลตำราแพทย์ขึ้นเล่มหนึ่งเรียกว่า “แพรคทอซออฟเมดิซิน” (Practice of Medicine) โดยมีนายเปลี่ยน กาญจนารัณย์ นักเรียนแพทย์ เป็นผู้ช่วยเขียน

พระบำบัดสรรพโรค ยังเป็นผู้นำการผดุงครรภ์แผนปัจจุบันเข้ามาใช้ในโรงพยาบาลศิริราชเป็นผลสำเร็จ แต่เพราะยุคนั้นหญิงไทยยังนิยมการ “อยู่ไฟ” อย่างมั่นคง จึงไม่ใคร่มีผู้ใดสมัครใจไปคลอดบุตรในโรงพยาบาล ด้วยเกรงว่าจะถูกบังคับให้ “เลิกอยู่ไฟ”

โรงพยาบาลศิริราช จึงต้องผ่อนผันให้หญิงที่มาคลอดบุตรใช้วิธีพยาบาลแบบโบราณได้อย่างเดิม เช่น อนุญาตให้วงสายสิญจน์แขวนยันต์รอบห้องที่อยู่ ยอมให้อยู่ไฟ เป็นต้น ในเรือนคลอดบุตรจึงต้องแบ่งเป็น 2 แผนก คือ แผนกคลอดบุตรแผนโบราณ และแผนกคลอดบุตรแผนปัจจุบัน หรือบางทีในห้องเดียวกันมีทั้งคนคลอดบุตรที่อยู่ไฟและไม่อยู่ไฟปนกัน ชี้แจงให้เลิกอยู่ไฟ ก็ไม่ใคร่มีใครยอม

โรงเรียนผดุงครรภ์และหญิงพยาบาล ( ภาพจาก www.ns.mahidol.ac.thX

ขณะนั้น พระบำบัดสรรพโรคเป็นหัวหน้าแผนกสูติศาสตร์ โรงพยาบาลศิริราช ทำหน้าที่ดูแลผู้ป่วยแผนกคลอดบุตรแผนปัจจุบัน พยายามเลิกธรรมเนียมการอยู่ไฟในโรงพยาบาลศิริราชอย่างสุดความสามารถ ได้ไปพูดชี้แจงเหตุผลต่อท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสรกรวงศ์ ให้เลื่อมใสในวิชาผดุงครรภ์แผนปัจจุบัน

ต่อมา สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ หรือต่อมาทรงเป็น สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งโรงเรียนแพทย์ผดุงครรภ์และหญิงพยาบาลขึ้นที่ โรงพยาบาลศิริราช เปิดสอนครั้งแรก พ.ศ. 2439 พระราชทานนามว่า “โรงเรียนผดุงครรภ์และหญิงพยาบาล” มีท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสรกรวงศ์ เป็นผู้อำนวยการ และพระบำบัดสรรพโรคเป็นอาจารย์สอนวิชาผดุงครรภ์แผนปัจจุบันคนแรกของโรงเรียนดังกล่าว

แม้ภายหลังโรงเรียนจะล้มเลิกไปใน พ.ศ. 2446 และกรมศึกษาธิการได้เปิดสอนวิชาพยาบาลผดุงครรภ์ขึ้นที่โรงพยาบาลศิริราช พ.ศ. 2451 พระบำบัดสรรพโรคก็ยังอำนวยการฝึกสอนวิชาการผดุงครรภ์ต่อไประยะหนึ่ง ด้วยมีความชำนาญในการใช้เครื่องมือคลอดบุตรเป็นพิเศษ ถึงกับ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นมหิศรราชหฤทัย ขณะดำรงพระยศเป็นพระเจ้าน้องยาเธอ รับสั่งว่า “หมอใช้คีมคลอดบุตรคล่องยิ่งกว่าฉันใช้ช้อนซ่อมกินข้าวเสียอีก”

ส่วนการทำให้หญิงไทยนิยมวิธีการคลอดบุตรแผนปัจจุบันนั้น สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถพระราชทานอนุญาตให้กรมพยาบาลอ้างกระแสรับสั่ง ชี้แจงแก่คนที่จะคลอดลูกในโรงพยาบาลว่า พระองค์เอง “ผทมเพลิง” (อยู่ไฟ) มาก่อน แล้วมาเปลี่ยนใช้วิธีพยาบาลอย่างใหม่ ทรงสบายกว่าผทมเพลิงมาก มีพระราชประสงค์ให้ราษฎรได้ความสุขด้วย จึงทรงแนะนำให้เลิกอยู่ไฟเสีย ถ้าใครทำตามที่ทรงชักชวน จะพระราชทานเงินค่าทำขวัญลูกที่คลอดใหม่คนละ 4 บาท จึงมีคนสมัครให้พยาบาลอย่างใหม่มากขึ้น จนกรมพยาบาลสามารถตั้งข้อบังคับเลิกประเพณีอยู่ไฟในโรงพยาบาลได้สำเร็จ

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเล่าถึง พระบำบัดสรรพโรค ไว้ในหนังสือนิทานโบราณคดีว่า เมื่อครั้งทรงเป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ทรงเชิญหมอฝรั่งมาประชุมที่ศาลาลูกขุน ทรงชี้แจงว่า

“กระทรวงมหาดไทยอยากได้ตำรายาฝรั่งบางขนานสำหรับรักษาโรคภัยไข้เจ็บที่ราษฎรมักเป็นกันชุกชุม ทำส่งไปจำหน่ายตามหัวเมือง หมอฝรั่งประชุมปรึกษาในระหว่างกันเองแล้ว ตกลงแนะนำให้รัฐบาลทำยาขึ้น 8 ขนาน และได้มอบตำรายาเหล่านั้นให้เป็นสมบัติของรัฐบาลสืบไป ส่วนการที่จะปรุงยานั้น หมออดัมเซ็น (พระบำบัดสรรพโรค) มีแก่ใจรับทำให้ในชั้นแรก ณ สำนักงานของเขาที่สี่กั๊กพระยาศรี (สี่แยกพระยาศรี) โดยเรียกราคาเพียงเท่าทุนและจะหัดคนที่ผสมยาให้ด้วยจนกว่ากระทรวงมหาดไทยจะตั้งที่ทำยาเอง”

ยาที่ทำขึ้นในครั้งนั้นคือ “ยาโอสถสภา” หรือ “ยาตำราหลวง” คาดว่าเริ่มมีราว พ.ศ. 2446

เดือนมกราคม พ.ศ. 2446 กระทรวงธรรมการได้ส่งพระบำบัดสรรพโรค แพทย์ใหญ่ผู้ตรวจการในกรมพยาบาล และหลวงวิฆเนศน์ประสิทธิวิทย์ (อัทย์ หสิตะเวช) แพทย์ผู้ช่วย ออกไปศึกษาวิธีผลิตวัคซีนป้องกันโรคระบาดสัตว์พาหนะ ที่ประเทศฟิลิปปินส์ บังเอิญนายแพทย์ทั้งสองได้ไปเห็นวิธีการผลิต “พันธุ์บุพโพไข้ทรพิษ” จึงได้ศึกษาวิธีการผลิตมาด้วย

เมื่อกลับมาถึงประเทศไทย ก็ทำรายงานขึ้นเสนอต่อพระยาวุฒิการบดี (เจ้าพระยาวิชิตวงศ์วุฒิไกร) เสนาบดีกระทรวงธรรมการ แนะนำให้รัฐบาลจัดตั้ง “กอเวอนเมนต์ซีร่ำแลโบแร็ตโตรี” สำหรับผลิตพันธุ์หนองฝีขึ้น ใช้ปลูกป้องกันไข้ทรพิษภายในประเทศ ในที่สุดรัฐบาลก็ตั้งสถานผลิตพันธ์หนองฝีขึ้นในบริเวณร้านขายยาของพระบำบัดสรรพโรค ที่สี่กั๊กพระยาศรี เมื่อ พ.ศ. 2448 ต่อมาใน พ.ศ. 2449 จึงได้ย้ายสถานผลิตพันธุ์หนองฝีไปตั้งที่ตำบลห้วยจรเข้ จังหวัดนครปฐม (ภายหลังเมื่อ พ.ศ. 2456 ได้ย้ายกลับมารวมอยู่ในปัสตุรสภา ถนนบำรุงเมือง จังหวัดพระนคร)

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่ 


อ้างอิง :

พระบำราศนราดูร. “พระบำบัดสรรพโรค (แฮนซ์ อดัมเซ็น)” ใน, ประวัติครู, คุรุสภาจัดพิมพ์ในวันครู 16 มกราคม 2505.


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 16 มิถุนายน 2561