
ผู้เขียน | ธนกฤต ก้องเวหา |
---|---|
เผยแพร่ |
ครั้งหนึ่ง “พระสงฆ์ไทย” เคยห่มจีวรที่มีลวดลายดอกไม้ หรือ “จีวรลายดอกพิกุล”
ธรรมเนียมดังกล่าวพบมากในพระเถระชั้นผู้ใหญ่ ในหลักฐานภาพถ่ายร่วมสมัย รวมถึงธรรมเนียมการสร้างพระพุทธรูปครองจีวรลายดอก ซึ่งเป็นลักษณะเด่นประการหนึ่งของศิลปกรรมไทยสมัยรัตนโกสินทร์

อนึ่ง จีวรคือส่วนหนึ่งของ “ผ้ากาสาวพัสตร์” ที่แปลว่าผ้าย้อมด้วยน้ำฝาด (น้ำต้มจากเปลือก-เเก่นไม้) หรือที่คนไทยรู้จักกันในชื่อ “ผ้าไตร” เป็นผ้าที่พระสงฆ์ใช้นุ่งห่มตามหลักศาสนา ประกอบด้วยผ้า 3 ผืน ได้แก่ “จีวร” (อุตราสงค์) ใช้ห่มด้านนอก “สบง” (อันตรวาสก) นุ่งห่มด้านล่าง และ “สังฆาฏิ” สำหรับนุ่งซ้อนหรือพาดบ่า
การนุ่งห่มผ้าไตรถือเป็นข้อกำหนดที่พระพุทธเจ้าประทานอนุญาตไว้ตั้งแต่พุทธกาล เป็นเอกลักษณ์ของพระสงฆ์ในพุทธศาสนา ซึ่ง “พระสงฆ์ไทย” แต่โบราณก็รับรูปแบบดังกล่าวมาด้วย ดังปรากฏในศิลปกรรมของพระพุทธรูปสมัยทวารวดี ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 12-16
การห่มผ้าไตรยังเป็นหลักการสร้างรูปเคารพเนื่องในพุทธศาสนาและการนุ่งห่มของพระสงฆ์ไทยเรื่อยมา แม้รูปแบบการครองผ้าจะแตกต่างกันบ้างในแต่ละนิกาย ยุคสมัย และสกุลช่างทางศิลปะ แต่ปกติแล้ว ผ้าทั้ง 3 ผืน จะเป็นผ้าเรียบ ไม่มีลาย อย่างที่เราเห็นได้ทั่วไปในปัจจุบัน
แล้วเหตุใดจึงมีภาพพระสงฆ์ไทยห่มจีวรที่มีลวดลายดอกไม้ ในภาพถ่ายของ จอห์น ทอมสัน (John Thomson, ค.ศ. 1837-1921) ช่างภาพชาวสก็อต ที่เดินทางมาเยือนสยามในสมัยแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) ระหว่าง พ.ศ. 2408-2409 (ค.ศ. 1865-1866)

“จีวรลายดอก” ที่ครั้งหนึ่งพระสงฆ์ไทยเคยนุ่งห่มมาจากไหน ทำไมปัจจุบันเราจึงไม่พบจีวรลักษณะนี้แล้ว?
การห่มจีวรลายดอกพิกุลนั้นเกิดขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) เนื่องจากราชสำนักมีธรรมเนียมการถวายผ้าจีวรที่มีลวดลายดอกไม้แด่พระเถระชั้นผู้ใหญ่ ดังปรากฏใน จดหมายเหตุบัญชีผ้าพระกฐินและผ้าไตร จ.ศ. ๑๑๘๗
ว่ากันว่า การถวายจีวรลายดอกอาจมีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้ว โดยพระพุทธเจ้าประทานอนุญาตเฉพาะลายดอกไม้ขนาดเล็ก สีสันไม่ฉูดฉาด หรือไม่เป็นลายแวววาว
“จีวรลายดอก” ที่นิยมถวายให้พระสงฆ์ในสมัยนั้น จะใช้ผ้าราคาสูงนำเข้าจากแคว้นเบงกอล ในอนุทวีปอินเดีย (ปัจจุบันคือ บังกลาเทศ) เป็นผ้าฝ้ายเนื้อบางละเอียด ทอเป็นลายดอกไม้-ดอกพิกุลขนาดเล็กทั้งผืน เรียกว่า “ผ้าย่ำตะหนี่” (Jamdani-ภาษาเปอร์เซีย) หรือย่ำตานี/ย่านตานี นำมาตัดเย็บและย้อมน้ำฝาดตามพระวินัย ก่อนนำถวายพระสงฆ์
สมัยรัชกาลที่ 3 เป็นต้นมา ยังมีความนิยมสร้างพระพุทธรูปและพระพุทธสาวกให้นุ่งห่มจีวรลายดอกด้วย ซึ่งก็เป็นการถอดแบบมาจากการนุ่งห่มของพระสงฆ์สมัยนั้น มีการครองจีวรลายดอกหลายรูปแบบ ทั้งลายดอกพิกุล ลายใบเทศ และลายพุ่มข้าวบิณฑ์
อย่างไรก็ตาม เป็นไปได้ว่าธรรมเนียมการถวายผ้าแพรมีลายแด่พระพุทธรูป มีมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 แล้ว เพียงแต่มานิยมแพร่หลายมากขึ้นสมัยรัชกาลที่ 3 จากธรรมเนียมการถวายจีวรลายดอกแก่พระสงฆ์นั่นเอง
การถวายจีวรลายดอกแด่พระสงฆ์ เสื่อมความนิยมลงในสมัยรัชกาลที่ 4 เพื่อลดทอนความหรูหราฟุ่มเฟือย สอดคล้องกับพระราชนิยมในการสร้างพระพุทธรูปที่ได้เปลี่ยนไปในทางเสมือนจริงตามแนวสัจนิยม เมื่อถึงสมัยรัชกาลที่ 5 มีเพียงพระเถระชั้นผู้ใหญ่บางรูปในกรุงเทพฯ เท่านั้น ที่ยังนิยมครองจีวรลายดอกพิกุลอยู่
และท้ายที่สุด “เทรนด์” ดังกล่าวก็หายไป
แต่เรายังพบการสร้างพระพุทธรูปหรือพระพุทธสาวกที่ครอง “จีวรลายดอก” ในสกุลช่างราชสำนัก และงานพุทธศิลป์ตามวัดหลวงในพระบรมราชูปถัมภ์อยู่ ทั้งกลายเป็นอัตลักษณ์หนึ่งของศิลปกรรมสมัยรัตนโกสินทร์ เพราะไม่พบในงานศิลปกรรมสมัยอื่นของไทย
อ่านเพิ่มเติม :
- วาทกรรมอำนาจ “พระสงฆ์ไทย” ว่าด้วย “สังฆราช”
- การเปลี่ยน “ลาวอีสาน” ให้เป็นไทยผ่านพระสงฆ์อีสานสาย “ธรรมยุต”
- “พระสงฆ์” ไทย กับคิ้วที่หายไป พระสงฆ์ (ไทย) เริ่มโกนคิ้วตั้งแต่เมื่อไหร่?
สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 24 มิถุนายน 2567