ผู้เขียน | วิภา จิรภาไพศาล |
---|---|
เผยแพร่ |
“ตึกแถว” หรือเรียกให้ดูแพงว่า “อาคารพาณิชย์” ส่วนใหญ่เป็นอาคารรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ใช้เป็นที่พักอาศัยหรือบ้าน และเป็นที่ทำงานประกอบอาชีพตั้งแต่เป็น ร้านอาหาร, ร้านค้า, สำนักงาน ฯลฯ และตึกแถวหลายแห่งมีการใช้งานในแบบที่คาดไม่ถึง คือเป็นโรงงานในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น โรงกลึง, โรงเหล็ก, โรงพิมพ์, โรงไม้ ฯลฯ
นั่นคือภาพตึกแถวที่เห็นในวันนี้ แล้ว “ตึกแถว” มีมาตั้งแต่เมื่อใด มาจากไหน
ตึกแถวในต่างประเทศ
รูปแบบอาคารประเภท “ตึกแถว” มีการเปลี่ยนแปลงมาหลายพันปี ในสมัยกรีก มีอาคารหรือเรือนแถวยาวริมทางเดิน ความสูง 1-2 ชั้น ภายในมีผนังกั้นเป็นห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ติดกันหลายห้อง เรียกว่า สโตอา (Stoa) ที่ใช้เป็นห้องเรียน, ร้านค้า ฯลฯ มีปรากฏอยู่ในหลายเมือง
สมัยโรมัน มีตึกแถวสร้างติดกันเป็นแถวยาวตลอดสองฝั่งถนน ผนังอาคารก่ออิฐฉาบปูน มีความสูง 1-4 ชั้น ใช้เป็นที่อยู่อาศัยและประกอบอาชีพ ส่วนใหญ่ไม่มีหน้าต่าง เรียกว่า Artrium House มักอยู่ในย่านของผู้มีรายได้น้อย อาคารลักษณะที่ก่อสร้างกันอยู่อย่างหนาแน่น
ถึงสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการในยุโรป รูปแบบของตึกแถวได้พัฒนาให้ดูดี หรู และกว้างขวางขึ้น โดยใช้เป็นอาคารเพื่อการอยู่อาศัยเพียงอย่างเดียว
ศตวรรษที่ 17-18 ประชาชนอพยพเข้ามาอยู่ในเมืองเป็นจำนวนมาก ที่พักที่เคยเป็น “บ้านหลังเดี่ยว” ก็เปลี่ยนไปเป็น “ตึกแถว” ความสูง 2-3 ชั้น รูปทรงสี่เหลี่ยมหันหลังชนกันเรียงเป็นแถวยาว เพื่อให้เพียงพอที่จะรองรับจำนวนคนที่อพยพเข้ามา และไม่นานตึกแถวในยุโรปก็กลายเป็นต้นแบบอาคารประเภทหนึ่งที่แผ่ขยายไปสู่ประเทศอาณานิคมในทวีปต่างๆ
ตึกแถวในไทย
แม้ไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดว่าตึกแถวเข้ามาในเมืองไทยเมื่อใด แต่หลักฐานทางโบราณคดีที่เป็นภาพวาดของจิตรกรชาวฮอลันดา และบันทึกของช่างฝรั่งที่เข้ามากรุงศรีอยุธยาในรัชกาลพระเจ้าปราสาททอง (พ.ศ. 2173-2198) ว่ามีอาคารยาวเป็นแถวขนานสองข้างถนนในบริเวณใจกลางเกาะเมืองอยุธยา สร้างด้วยอิฐและหิน เป็นอาคาร 2 ชั้น ส่วนใหญ่เป็นที่พักของแขกมัวร์และชาวจีน
ส่วนตึกแถวที่เราเห็นกันอยู่ในปัจจุบัน ส่วนใหญ่แล้วเป็นพัฒนาการของตึกแถวในสมัยรัตนโกสินทร์ ซึ่งยุคแรกที่ตึกแถวขึ้น คือรัชกาลที่ 4 ในพื้นที่ชั้นใจกลางของเมือง บริเวณถนนเจริญกรุง, ถนนบำรุงเมือง, ถนนเฟื่องนคร ตลาดน้อย ฯลฯ ตึกแถวยุคนี้ส่วนใหญ่เป็นของหลวงและเจ้านายต่างๆ ที่สร้างขึ้นเก็บค่าเช่าเพื่อใช้ดูแลเหล่าสมาชิก ส่วนรูปแบบอาคารได้รับอิทธิพลจากจีนและชาติตะวันตกที่ถ่ายทอดรูปแบบผ่านประเทศสิงคโปร์ ที่เรียกว่า Chino-Colonial Style ดัดแปลงให้เข้ากับสภาพภูมิอากาศประเทศอาณานิคมในย่านนี้ ก่อนจะแพร่หลายเข้ามาในไทย ปัจจุบันตึกแถวรุ่นนี้ยังคงเหลืออยู่ในย่านอาคารเก่าของจังหวัดภูเก็ต
ถึงรัชกาลที่ 5-6 การก่อสร้างตึกแถวเริ่มขยายออกไปสู่กรุงเทพฯ ชั้นกลาง เช่น ถนนพระสุเมรุ, บางลำพู, เยาวราช, ฯลฯ ลักษณะเป็นอาคาร 2 ชั้น โครงสร้างมีการใช้คอนกรีตเสริมเหล็ก มีการตกแต่งด้วยกระจกและลวดลายแบบตะวันตก
สมัยรัชกาลที่ 7-8 ขณะที่รูปแบบของตึกแถวมีพัฒนาเฉพาะตัวขึ้น เพราะมีกฎหมายเพื่อควบคุมอาคารเรียกว่า “พระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. 2479” ซึ่งระบุขนาดอาคารสิ่งก่อสร้าง ทำให้อาคารในยุคนี้มีขนาดใกล้เคียงกัน นอกจากนี้เนื่องจากเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก ตึกแถวในช่วงนี้จึงเน้นประโยชน์ใช้สอย มักมีโครงสร้างอาคารแบบเรียบง่าย ไม่มีการประดับหรือตกแต่งที่สิ้นเปลือง ตัวอาคารเพรียวบางลงเพราะเทคโนโลยีการก่อสร้างที่ดีขึ้น
สมัยรัชกาลที่ 9-ปัจจุบัน ตึกแถวมีรูปแบบ, ขนาด, การใช้งาน, วัสดุก่อสร้าง, เทคโนโลยี ฯลฯ ที่หลากหลาย และก้าวหน้าไปมาก ตึกแถวบางแห่งจึงมีสูงถึง 9 ชั้น ทั้งใช้เวลาในการก่อสร้างน้อยลง เพราะการใช้พื้นสำเร็จรูป, คานสำเร็จรูป ฯลฯ
ทว่า ตึกแถวที่สร้างกันอย่างแพร่หลายทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ที่เคยตอบโจทย์ที่ดีสำหรับสังคมสมัยหนึ่ง ก็กำลังประสบปัญหา เช่น ตัวอาคารเองล้าสมัย, เสื่อมโทรม ขาดการดูแลจากผู้อาศัย หรือเจ้าของอาคาร, การเติบโตของเมืองและผังเมืองส่งผลให้ตึกแถวที่เคยรุ่งเรือง ร้างในพริบตา ฯลฯ
หากปัญหาสำคัญสุดที่สกัดทางรุ่งของตึกแถวเกือบทุกแห่งก็คือ “ที่จอดรถ” เพราะตึกแถวเดิมๆ ที่ตั้งอยู่ริมถนน เพื่อสะดวกในการเดินทาง ถึงวันนี้ที่ “รถยนต์” เป็นพาหนะสำคัญ แต่มันกลับไม่มีที่จอดรถให้เจ้าของตึกและลูกค้าที่จะมาติดต่อ ตึกแถวจึงค่อยสูญหายและกลายเป็นอาคารสำนักงานขนาดใหญ่ และศูนย์การค้าแทน
อ่านเพิ่มเติม :
หมายเหตุ : บทความนี้เขียนเก็บความจาก เพ็ญศรี ฉันทวรางค์. แนวทางการเปลี่ยนแปลงของตึกแถว ในกรุงเทพมหานคร. วิทยานิพนธ์ ปริญญามหาบัณฑิต ภาควิชาสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2529.
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 16 กุมภาพันธ์ 2566