ผู้เขียน | ฮิมวัง |
---|---|
เผยแพร่ |
โครงการฟื้นฟูบูรณะวัดไชยวัฒนาราม อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา 2 ระยะมีสหรัฐอเมริกาเป็นผู้สนับสนุนและให้ทุนรวมแล้วเป็นเงินกว่า 30 ล้านบาท โดยเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยกล่าวว่า จะเดินหน้าสนับสนุนการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมในประเทศไทยต่อไป[1]
เมื่อวันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2563 นายไมเคิล ดีซอมบรี เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย พร้อมด้วยนางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายภานุ แย้มศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และนายอรุณศักดิ์ กิ่งมณี รองอธิบดีกรมศิลปากร ร่วมพิธีส่งมอบโครงการฟื้นฟูบูรณะวัดไชยวัฒนาราม ระยะที่ 2
โครงการฟื้นฟูบูรณะวัดไชยวัฒนารามเป็นโครงการสืบเนื่องมาตั้งแต่ พ.ศ. 2554 เมื่อวัดไชยวัฒนารามได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมครั้งใหญ่ กรมศิลปากรร่วมกับกองทุนโบราณสถานโลก (World Monuments Fund-WMF) โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาเพื่อการอนุรักษ์ทางวัฒนธรรมของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา (Ambassadors Fund for Cultural Preservation-AFCP) จำนวน 131,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อดำเนินโครงการก่อสร้างระบบป้องกันน้ำท่วม
ในปีต่อมา พ.ศ. 2555 จึงได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของโบราณสถานวัดไชยวัฒนารามที่เริ่มทรุดโทรมและได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมใหญ่ จึงดำเนินโครงการฟื้นฟูบูรณะวัดไชยวัฒนาราม ระยะที่ 1 ได้รับงบประมาณจาก AFCP สนับสนุนกว่า 700,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อมาใน พ.ศ. 2560 โครงการระยะที่ 2 ได้รับงบประมาณสนับสนุนอีก 325,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ
นายไมเคิล ดีซอมบรี เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย กล่าวว่า วัดไชยวัฒนารามไม่เพียงเป็นโบราณสถานที่วิจิตรตระการตาอย่างเดียวเท่านั้น โดยที่สหรัฐอเมริกามองเห็นถึงคุณค่าความสำคัญยิ่ง ทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์ต่อกันอย่างยาวนาน การสนับสนุนรัฐบาลไทยในการอนุรักษ์เป็นการแสดงความเคารพและแสดงเจตนารมณ์ในการอนุรักษ์โบราณสถาน
กองทุน AFCP นี้ ได้ดำเนินโครงการอนุรักษ์ในหลายพื้นที่ทั่วประเทศไทยกว่า 18 โครงการตั้งแต่ พ.ศ. 2544 เป็นต้นมา ในการส่งมอบเมรุที่ได้รับการบูรณะแล้วเสร็จในครั้งนี้ จะส่งต่อไปยังการเริ่มต้นการอนุรักษ์เมรุองค์ที่ 3 โดยในระยะยาวต้องการบูรณะเมรุทั้ง 8 องค์และระเบียงคตในอีก 7 ปีข้างหน้า โครงการนี้เป็นตัวอย่างแสดงให้เห็นถึงความร่วมมือกันระหว่างสองรัฐบาล และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่มีต่อกันมาอย่างยาวนาน
การอนุรักษ์วัดไชยวัฒนารามโดยกรมศิลปากรได้ใช้ผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการฝึกอบรมและแลกเปลี่ยนความรู้กับกองทุนโบราณสถานโลก ให้มีความรู้ความเข้าใจและประสบการณ์ในงานการอนุรักษ์โบราณสถานมาปฏิบัติงานอย่างเป็นระบบ โดยในโครงการนี้จะเน้นการบูรณะโครงสร้างของเมรุวัดไชยวัฒนารามให้แข็งแรงมั่นคง
ย้อนกลับไปเมื่อ พ.ศ. 2478 กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนวัดไชยวัฒนารามเป็นโบราณสถานแห่งชาติ โดยประกาศลงราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 52 ตอนที่ 75 วันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2478 ต่อมากรมศิลปากรได้ดำเนินการขุดแต่งและบูรณะในช่วง พ.ศ. 2530-2535[2] ซึ่งได้เสริมสร้างความมั่นคงแข็งแรงให้กับโบราณสถาน แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไปจนถึง พ.ศ. 2554 เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ วัดไชยวัฒนารามได้รับผลกระทบอย่างหนัก จึงนำไปสู่แผนการบูรณะโบราณสถานที่วัดแห่งนี้อีกครั้งหนึ่ง ดังที่ได้กล่าวแล้วข้างต้น
จากการตรวจสอบการขุดแต่งและบูรณะในช่วง พ.ศ. 2530-2535 พบว่า มีการใช้ปูนซีเมนต์เป็นวัสดุในการอนุรักษ์ ซึ่งปูนซีเมนต์ได้ก่อปัญหาคือ เมื่อเสื่อมสภาพจึงเกิดแตกเป็นรอย ทำให้น้ำซึมเข้าไปภายในจนถึงชั้นอิฐ กระทั่งเกิดจุลชีพบนพื้นผิว และการใช้ปูนซีเมนต์ได้ขวางทางระบายความชื้นออกจากชั้นอิฐ ทำให้อิฐเสื่อมและผุกร่อน นอกจากนี้ นกพิราบและนกเอี้ยงที่เกาะอาศัยและทำรังอยู่บนพื้นดาดเหนือแนวคิ้วที่เคยมีฐานบัวแต่ชำรุดสูญหายไป ได้ทิ้งปฏิกูลที่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาทางเคมีจนทำให้ปูนซีเมนต์เสื่อมสภาพ
นักอนุรักษ์จึงได้สกัดปูนซีเมนต์ของเก่าออก แล้วใช้ปูนสอที่ผสมจากปูนขาวมาเป็นวัสดุในการบูรณะแทน โดยยึดหลักการอนุรักษ์เพื่อคงรูปแบบสถาปัตยกรรมเดิมไว้ ยกตัวอย่างฐานบัวคว่ำที่ชำรุดจนกลายเป็นพื้นแบนราบ นักอนุรักษ์ได้ปรึกษากับอาจารย์สันติ เล็กสุขุม จึงได้ก่อฐานบัวคว่ำขึ้นใหม่ตามแนวเดิมของฐานบัวคว่ำที่เหลืออยู่ โดยไม่ฉาบปูนปิดชั้นอิฐ ทั้งนี้ งานก่อเปลี่ยนอิฐหรือก่ออิฐใหม่จะทำให้ลักษณะที่สามารถแยกความแตกต่างระหว่างผนังอิฐที่ก่อใหม่และผนังอิฐโบราณได้
ในส่วนของการฉาบปูน หากเป็นการฉาบปูนใหม่ก็จะฉาบให้ตื้นกว่าชั้นปูนเดิม เพื่อให้แยกความแตกต่างระหว่างวัสดุโบราณและวัสดุอนุรักษ์ได้ โดยการฉาบพื้นผิวส่วนต่าง ๆ ของเมรุด้วยปูนนั้นจะเน้นไปที่การปิดรอยร้าวและจับขอบรวมถึงฉีดผนึก เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงแข็งแรงและป้องกันไม่ให้น้ำไหลซึมเข้าไปชั้นใน ในส่วนบริเวณพื้นดาดก็ได้ฉาบปูนใหม่ให้มีลักษณะลาดเอียงแบบที่เคยมีในอดีตเพื่อช่วยระบายน้ำออกจากผิวหน้า
ในส่วนของภายในเมรุ เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปทรงเครื่องปางมารวิชัยลงรักปิดทอง ก่อนการอนุรักษ์มีคราบมูลสัตว์ ฝุ่น และสิ่งสกปรกต่าง ๆ เกาะพื้นผิวองค์พระ นักอนุรักษ์จึงทำความสะอาดด้วยอุปกรณ์และสารเคมีที่เหมาะสม ทำให้พระพุทธรูปกลับมาสวยงามอีกครั้ง ดังจะเห็นว่าพื้นผิวองค์พระที่ลงรักมีสีดำชัดขึ้น นอกจากนี้ ในส่วนภายในเมรุยังมีบัวหัวเสา (ลงรัก) และเพดานไม้ (สัก) ก็ได้รับการอนุรักษ์ เช่นเดียวกัน
ตลอดระยะเวลาเกือบ 10 ปีที่ AFCP ได้สนับสนุนโครงการอนุรักษ์วัดไชยวัฒนารามทั้ง 3 โครงการ ไม่เพียงแต่ทำให้โบราณสถานวัดไชยวัฒนารามได้รับการฟื้นฟูบูรณะให้กลับมาจิตรตระการตาอีกครั้ง แต่โครงการนี้ยังมีส่วนสำคัญในการแลกเปลี่ยนและถ่ายทอดความรู้การอนุรักษ์โบราณสถานระหว่างองค์กรของไทยโดยกรมศิลปากรกับองค์กรต่างประเทศ เพื่อเป็นตัวอย่างของการบูรณะโบราณสถานและสร้างองค์ความรู้ของการอนุรักษ์ต่อโบราณสถานอีกหลายแห่ง
โครงการฟื้นฟูบูรณะวัดไชยวัฒนารามนี้เน้นการเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับโครงสร้างของเมรุทิศและเมรุรายเป็นสำคัญ แก้ไขงานอนุรักษ์เมื่อครั้งอดีตที่ทรุดโทรมและไม่สอดคล้องกับองค์ความรู้ของงานอนุรักษ์ในปัจจุบันที่ก้าวหน้าด้วยเทคนิคและวิธีการสมัยใหม่ โครงการนี้จึงเป็นการบูรณะเพื่อให้โบราณสถานวัดไชยวัฒนารามไม่ทรุดโทรมไม่ตามกาลเวลา
อ้างอิง :
[1] Facebook : U.S. Embassy Bangkok
[2] Facebook : สำนักศิลปากรที่ ๓ พระนครศรีอยุธยา
เผยแพร่เนื้อหาในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 16 มีนาคม 2563