ข้อสันนิษฐาน “รัฐทวารวดี” ล่มสลาย เพราะกัมพูชานำ “กลียุค” มาสู่ชาวรามัญ

นักดนตรีสตรี ทวารวดี เมืองโบราณคูบัว รัฐทวารวดี
นักดนตรีสตรี ศิลปะทวารวดี อายุราวพุทธศตวรรษที่ 13-14 หรือประมาณ 1200-1300 ปีมาแล้ว ปูนปั้น สูง 63 เซนติเมตร พบที่เมืองโบราณคูบัว อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี (ภาพจาก กลุ่มเผยแพร่ฯ กรมศิลปากร)

การสลายตัวของรัฐทวารวดีเป็นเรื่องที่สร้างความฉงนสงสัยและถือเป็นคำถามใหญ่สำหรับนักวิชาการด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดีเสมอมา ต่อประเด็นนี้นั้น มีข้อสันนิษฐานอยู่ 2 แนวคิดหลักๆ คือ แนวคิดแรก รัฐทวารวดี ต้องล่มสลายไปเพราะการรุกรานของอาณาจักรพุกาม ซึ่งถือเป็นแนวคิดเก่า (ดำรงราชานุภาพ, 2510) และไม่ได้รับการยอมรับแล้วในปัจจุบัน ส่วนแนวคิดที่ 2 เชื่อว่าเป็นผลมาจากการรุกรานของกัมพูชา (เขมร) ซึ่งแนวคิดหลังนี้ได้รับความเชื่อถือมากในปัจจุบัน

อย่างไรก็ดี หลังจากการสลายตัวของรัฐทวารวดีแล้ว ไม่มีใครทราบว่าประชากรในรัฐทวารวดีที่พูดภาษามอญโบราณนั้นหนีไปไหน มีนักวิชาการบางคนสันนิษฐานว่า บางส่วนอาจหนีไปในเขตเมืองมอญของพม่าเช่นที่หงสาวดี ในขณะที่บางส่วนอาจอพยพหนีขึ้นไปอยู่บนภูเขาในเขตรอยต่อระหว่างภาคกลางกับอีสาน

ธิดา สาระยา นักประวัติศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์ทวารวดี ได้ตั้งสมมติฐานว่า เป็นไปได้ว่า ชาวทวารวดีอาจเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงอันเนื่องมาจากการเข้ามาของวัฒนธรรมต่างแบบ คนต่างถิ่น ซึ่งในบรรดากลุ่มคนพวกนี้ บ้างก็สามารถประสมกลมกลืน บ้างก็ต้องล่าถอยอยู่เฉพาะกลุ่มของตนเอง จนกลายเป็นคนส่วนน้อยที่หลงเหลืออยู่ดังพวกชาวเนียะกุร ซึ่งได้ถอยร่นไปอยู่บริเวณป่าเขาในแถบจังหวัดเพชรบูรณ์ ชัยภูมิ และนครราชสีมา ซึ่งถือเป็นทำเลที่เป็นแผ่นดินไม่มีเจ้าของ” (no man’s land) (ธิดา สาระยา, 2532 : 177-179) ซึ่งในเบื้องต้นนี้ ขอสันนิษฐานว่าสาเหตุของการล่าถอยของชาวเนียะกุรเกิดจากการเข้ามาของอาณาจักรกัมพูชา

ถึงแม้ว่าจะมีความเป็นไปได้ที่เดิมชาวญัฮกุรจะเป็นประชากรในรัฐทวารวดี หรืออย่างน้อยก็มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับกลุ่มคนที่พูดมอญโบราณสมัยทวารวดี แต่ที่ผ่านมาก็ยังไม่เคยมีการสำรวจแหล่งโบราณคดีในพื้นที่ที่ชาวญัฮกุรอยู่อาศัยอย่างจริงจัง และเก็บข้อมูลประเภทนิทานตำนานท้องถิ่นเพื่อหาความเชื่อมโยงดังกล่าว ที่สำคัญจากข้อสันนิษฐานของธิดาข้างต้นนั้น ทำให้เกิดคำถามว่า ชาวเนียะกุรหรือชาวญัฮกุรนั้นเป็นกลุ่มคนที่ล่าถอยไปอยู่ตามป่าเขาเข้าไปในแผ่นดินที่ไม่มีเจ้าของจริงหรือไม่ ดังนั้น บทความนี้จึงมีเป้าหมายหลักเพื่อพิสูจน์ข้อสมมติฐานข้างต้นของ ธิดา สาระยา และเชื่อมโยงสู่ความเข้าใจถึงการเสื่อมถอยอำนาจของรัฐทวารวดี

รัฐทวารวดีล่มสลายลง เพราะพุกาม หรือกัมพูชา?

ในที่นี้ผู้เขียนใคร่ขอนำเสนอถึงสาเหตุของการสลายตัวของรัฐทวารวดีเสียก่อน เท่าที่มีหลักฐาน ณ ขณะนี้ มีความเป็นไปได้อย่างสูงว่ารัฐทวารวดีคงสลายตัวจากปัญหาสงครามกับอาณาจักรกัมพูชา มากกว่าอาณาจักรพุกาม อย่างไรก็ดีอาจมีสาเหตุอื่นอีกที่เป็นปัจจัยต่อความอ่อนแอของรัฐทวารวดี เช่น รูปแบบรัฐของทวารวดีที่เป็นแบบสหพันธรัฐ หรือนครรัฐ จึงรวมตัวกันอย่างหลวมๆ ในขณะที่กัมพูชาเป็นรัฐแบบรวมศูนย์ นอกจากนี้ยังอาจมีปัจจัยทางเศรษฐกิจเข้ามาเกี่ยวข้องอีกด้วย

เหตุผลที่ทำให้นักประวัติศาสตร์และโบราณคดีหลายคนค่อนข้างมั่นใจว่า การรุกรานของอาณาจักรกัมพูชาเป็นสาเหตุสำคัญต่อการล่มสลายของรัฐทวารวดีนั้น เป็นผลมาจากการค้นพบศิลาจารึกหลักหนึ่งมีชื่อว่าจารึกโอเสม็ช” (O Smach)  (K. 1198 หรือ Ka. 3225) พบที่เสียมเรียบ เมื่อราว ค.. 1994 โดยใช้อักษรเขมรโบราณ ภาษาเขมรและสันสกฤต

ด้านภาษาเขมรได้รับการแปลแล้ว แต่ด้านภาษาสันสกฤตมีการแปลเฉพาะบางส่วนเท่านั้น โดยส่วนที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเมืองลวปุระหรือลพบุรี จะอยู่ในส่วนที่เป็นภาษาสันสกฤต ซึ่งมีนักวิชาการหลายคนได้ศึกษาไว้แล้ว (เช่น Pou, 2001 : 240-260; Giffiths, 2006; Lowman, 2011; Wongsathit, Katshima and Khotkanok, 2017; U-tain Wongsathit et al. 2017; ศานติ ภักดีคำ, 2556; กังวล คัชชิมา, 2557)

จารึกหลักนี้ทำขึ้นเมื่อ พ.. 1557 ในรัชสมัยพระเจ้าสูรยวรมันที่ 1 (หรือสุริยวรมันที่ 1 ครองราชย์ พ.. 1545-93) โดยผู้อุปถัมภ์การทำจารึกนี้มีชื่อว่าพระกัมสเตงอัญศรีลักษมีปติวรมันซึ่งเป็นทั้งเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงและแม่ทัพคนสนิทของพระเจ้าสูรยวรมันที่ 1 ด้วย อีกทั้งพระองค์ยังสั่งให้สถาปนาศิวลึงค์ทองคำขึ้นยังพื้นโลก ถอดถอนพระพุทธรูปออกพร้อมทั้งกัลปนาสิ่งของและข้าทาส

แต่ที่สำคัญ พระกัมสเตงอัญศรีลักษมีปติวรมันยังได้รับพระราชบัญชาให้ยกกองทัพมายึดครองเมืองลวปุระ (ลพบุรี) ใน พ.. 1554 จากนั้นได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ปกครองชาวรามัญ(Ramanya) แห่งตะวันตก ความว่าในตอนแรกกองทัพได้รับมอบหมายจากกษัตริย์ให้ไปเป็นผู้ปกครองชาวรามัญ (ramanya) กลุ่มชนผู้ซึ่งพบได้ในทิศตะวันตก (บรรทัดที่ 23)

ชาวรามัญที่ว่านี้คงจะเป็นชาวมอญ ซึ่งคำว่ามอญนี้แผลงมาจากคำว่ามัญนั่นเอง อย่างไรก็ดีสิ่งที่ต้องระวังในเรื่องชื่อเรียกทางชาติพันธุ์นี้คือ ทั้งรามัญและมอญในอดีตอาจไม่ได้เป็นดังเช่นมอญปัจจุบันที่เรารู้จักกัน เพราะในรัฐๆ หนึ่งย่อมมีกลุ่มชาติพันธุ์ที่ต่างเชื้อสายและวัฒนธรรมอยู่ร่วมกัน เช่น เขมร ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่สามารถเรียกรัฐทวารวดีว่ารัฐมอญตามแนวคิดเชื้อชาตินิยมได้นั่นเอง

หลังจากที่พ่ายแพ้ต่อกองทัพของกัมพูชาแล้ว ในบรรทัดที่ 24 ของจารึกได้บันทึกว่าทหารฝ่ายยุทธการณ์, ซึ่งได้ปราบพวกชาวรามัญด้วยการใช้กำลังทหารและความชาญฉลาดด้านยุทธวิธี ซึ่งเป็นไปตามความปรารถนาของเจ้านายของพวกเขา [คือกษัตริย์], ซึ่ง [รามัญ] ถูกเก็บภาษีเป็นจำนวนมาก (อ้างตาม Lowman, 2011 : 57-58)

จากข้อความในจารึกที่ระบุว่าชาวรามัญเป็นกลุ่มคนที่อยู่ทางทิศตะวันตกที่หมายถึงคนในเมืองละโว้แล้ว อาจหมายรวมไปถึงเมืองต่างๆ ในกลุ่มเครือข่ายของรัฐทวารวดีที่คงใช้ภาษามอญเป็นภาษาหลักในการสื่อสารกัน ดังนั้น คนในรัฐทวารวดีก็อาจจะเรียกได้ว่าชาวรามัญซึ่งยังเป็นชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนมอญทั้งในเขตพม่าและไทยยังคงใช้เรียกตนเองอยู่ควบคู่ไปกับคำว่ามอญ

นอกจากนี้ ในจารึกหลักเดียวกัน บรรทัดที่ 37 ยังได้กล่าวต่อไปอีกว่าด้วยความชั่วร้ายแห่งกลียุค, ลวปุระ (Lavabur) ได้กลายเป็นป่า, ความงดงามของเมืองได้มลายไป, ความรุ่งเรืองทั้งหมดของเมืองได้ถูกทำลาย, อุดมไปด้วยสัตว์ป่า เช่น เสือ, ดูเลวร้ายราวกับพื้นที่เผาศพในป่าช้า (อ้างตาม Lowman, 2011 : 58)

ในโศลกถัดมาได้กล่าวว่ากษัตริย์ทรงบัญชาให้ศรีลักษมีปติวรมันไปฟื้นฟูเมืองทางทิศตะวันตก ซึ่งถูกทิ้งร้างและรกชัฏสูญหายอย่างสมบูรณ์เป็นเวลายาวนานระหว่างกลียุค, พื้นที่อยู่อาศัยถูกปกคลุมไปด้วยต้นไม้อย่างที่เมืองนี้เคยเป็นมาก่อน, จงทำให้เมืองนี้กลับมาสมบูรณ์และเจริญรุ่งเรืองดังเก่า (อ้างตาม Lowman, 2011 : 58)   

สรุปสั้นๆ จากข้อความข้างต้นคือ เมืองละโว้เคยเป็นเมืองที่รุ่งเรืองมาก่อน แต่ผลจากกลียุคจึงทำให้กลายเป็นป่ารกชัฏเต็มไปด้วยสิงสาราสัตว์ อย่างไรก็ดีกลียุคที่ว่านี้คืออะไร แต่คงไม่ได้หมายถึงสงครามที่ก่อโดยพระเจ้าสูรยวรมันที่ 1 เพราะผู้จารึกคงไม่มองว่าสงครามครั้งนี้เป็นกลียุคเป็นแน่ ดังนั้น ถ้าพิจารณาจากจารึกบรรทัดที่ 24 จะพบว่าหลังการเข้ายึดเมืองละโว้แล้ว ประชาชนต้องเสียภาษีอย่างหนัก ซึ่งตรงนี้เองน่าจะเป็นสิ่งที่เรียกว่าเป็นกลียุคและคงเป็นสาเหตุที่ทำให้ประชาชนอพยพหนีไปจากเมือง

อีกปัจจัยหนึ่งที่น่าพิจารณาด้วยคือการก่อกบฏ ดร. กังวล คัชชิมา ผู้เชี่ยวชาญด้านจารึก ได้สรุปบางส่วนของจารึกหลักนี้ไว้ด้วยว่า คนในตระกูลโวร่วมกับตระกูลตำปางได้พยายามตั้งตนเป็นศัตรูกับพระเจ้าสูรยวรมันที่ 1 พระองค์จึงได้สั่งให้ริบเอาที่ดินและสุขาวาสซึ่งเป็นของตาญตริ ผู้อยู่ในตระกูลโว แล้วพระราชทานให้แก่พระกัมสเตงอัญศรีลักษมีปติวรมันแทน พร้อมทั้งสั่งให้ตั้งศิวลึงค์ที่ปราสาทแทนที่พระพุทธรูปอีกด้วย (กังวล คัชชิมา, 2557 : 4) ดังนั้นกลียุคที่เกิดขึ้นนี้จึงอาจหมายถึงการก่อกบฏได้เช่นกัน

นับจาก พ.. 1554 อำนาจของอาณาจักรกัมพูชาได้สถาปนาอย่างมั่นคงแม้ว่าจะมีปัญหาเรื่องกบฏและการหนีหายไปของประชากรเนื่องจากต้องจ่ายภาษีอย่างหนัก ประมาณ 10 ปีให้หลัง คือ นับจาก พ.. 1568 ดูเหมือนนโยบายทางศาสนาของกัมพูชาที่มีต่อเมืองละโว้นั้นจะยอมให้มีการนับถือศาสนาทั้งพุทธและพราหมณ์ได้

จารึกศาลสูง ภาษาเขมร (หลักที่ 1) (K. 410) จารึกขึ้นเมื่อ พ.. 1568 ได้ระบุว่า ใน พ..1565พระบาทกัมรเตงกำตวนอัญศรีสุริยวรรมเทวะหรือพระเจ้าสูรยวรมันที่ 1 ได้มีพระบัณฑูรตรัสให้พระนิยมให้ไปแจ้งแก่ดาบสและพระภิกษุมหายานหรือผู้ที่บวชเป็นสถวิระคือภิกษุในนิกายสถวิรวาทของฝ่ายหินยาน ว่าให้ถวายตบะแก่พระเจ้าสูรยวรมัน ถ้าใครก็ตามไปรบกวนนักบวชเหล่านี้จะจับขึ้นศาลและมีโทษอย่างหนัก (ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร, 2556ข)

เป็นไปได้ว่า หลังจาก พ.. 1554 ผลจากความพยายามในการสถาปนาลัทธิไศวนิกายโดยถอดถอนพระพุทธศาสนาออกไปนั้น ทำให้เกิดกลียุค เพราะศาสนาย่อมสัมพันธ์กับทั้งความเชื่อและอำนาจของกลุ่มตระกูลดั้งเดิมของละโว้ ดังนั้น เพื่อเป็นการประสานรอยร้าวดังกล่าว การยอมให้ศาสนาทุกศาสนาและทุกนิกายยังคงสามารถปฏิบัติต่อไปได้ย่อมทำให้เมืองละโว้กลับมาสมบูรณ์และเจริญรุ่งเรืองดังเก่า

จริงๆ แล้วประเด็นนี้น่าศึกษาต่อคือการรุกเข้ามาของอาณาจักรกัมพูชาในเขตรัฐทวารวดีนับตั้งแต่สมัยพระเจ้าสูรยวรมันที่ 1 นั้น ได้ส่งผลทำให้ในสมัยนี้เกิดการสร้างพระพุทธรูปและนับถือศาสนาพุทธในอาณาจักรกัมพูชาเพิ่มขึ้นหรือไม่อย่างไร

ความจริงแล้ว ความพยายามในการจัดการกับชาวรามัญสมัยพระเจ้าสูรยวรมันที่ 1 นี้ไม่ใช่ความพยายามครั้งแรกของอาณาจักรกัมพูชา หากมีมาก่อนหน้านั้นแล้ว เท่าที่พบหลักฐาน เป็นไปได้ว่าคงเริ่มต้นมาตั้งแต่ในสมัยพระเจ้าราเชนทรวรมัน (ครองราชย์ พ.. 1487-1511) ในวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของ เอียน นาแธเนียล โลวแมน (Ian Nathaniel Lowman) ที่เสนอต่อมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ได้อ้างว่าในจารึกปราสาทเบงเวียน ประเทศกัมพูชา (K. 872) ที่ทำขึ้นใน พ.. 1489 ว่า

ธนูของพระองค์ได้ยิงไปทั้งทางซ้ายและขวาดั่งเช่นพระรามองค์ก่อน, พระองค์ได้พิชิตในสงครามกับชาวรามัญ ชาวจามปา เป็นต้น, เปี่ยมด้วยพละกำลังดั่งปีศาจ (อ้างตาม Lowman, 2011 : 57)

ถ้ายึดเอาอาณาจักรกัมพูชาเป็นศูนย์กลางทางซ้ายและขวาที่ปรากฏในจารึกนี้ ถ้าเรียงตามลำดับ ย่อมหมายถึงทิศตะวันตกและตะวันออก ซึ่งหมายถึงดินแดนของพวกชาวรามัญและชาวจามปา โดยศูนย์กลางของชาวรามัญนี้คงอยู่ที่เมืองละโว้นี่เอง

หลักฐานที่บ่งชี้อำนาจของพระเจ้าราเชนทรวรมันได้นี้มีอยู่ 2 แห่ง คือ ปราสาทก่อด้วยอิฐ ปรางค์แขกที่เมืองลพบุรีจะสร้างขึ้นในสมัยนี้ ซึ่งสอดคล้องกับการที่นักวิชาการหลายคนได้กำหนดอายุโบราณสถานแห่งนี้ให้มีอายุอยู่ราวพุทธศตวรรษที่ 15 และปราสาทเมืองแขกที่อำเภอสูงเนิน นครราชสีมา ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กันกับเมืองเสมาอันเป็นเมืองในวัฒนธรรมทวารวดี

อย่างไรก็ดี ปรางค์แขกนั้นเป็นปราสาทที่มีลักษณะความเป็นพื้นถิ่น คือมีสถาปัตยกรรมทวารวดีเข้าไปผสม และนักวิชาการบางท่านเชื่อว่าอาจสร้างในช่วงกลางพุทธศตวรรษที่ 16 ตกราวรัชกาลพระเจ้าสูรยวรมันที่ 1 ดังนั้น อายุสมัยของปรางค์แขกจึงยังไม่ยุติ (เช่น สฤษดิ์พงษ์ ขุนทรง, 2548 : 20-27)

โลวแมนให้ความเห็นว่า นับตั้งแต่สมัยเมืองพระนคร อาณาจักรกัมพูชามีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มชาวรามัญหรือมอญเป็นอย่างมาก ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 10 จารึกที่พบที่ตาพระยาหลักหนึ่งได้กล่าวถึงถนนรามัญ(phlu rmman) ซึ่งเริ่มต้นจากเมืองพระนครไปสู่อาณาเขตของรามัญซึ่งนั่นหมายความว่าอาณาจักรกัมพูชานั้นรับรู้ถึงสิ่งที่เรียกว่าเป็นอาณาเขตของพวกรามัญว่าอยู่ทางทิศตะวันตกของอาณาจักรตนเอง และเชื่อได้ด้วยว่ากัมพูชารู้สึกว่าพวกรามัญอาจจะกลายเป็นภัยทางการเมืองได้ไม่ต่างจากพวกจามปา

ถ้าสรุปสั้นๆ ณ ตรงนี้ก็คือ อาณาจักรกัมพูชาคือสาเหตุหลักที่ทำให้รัฐทวารวดีที่มีชาวรามัญหรือมอญเป็นประชากรหลักต้องล่มสลายลง แต่ชะตากรรมของชาวรามัญจะเป็นเช่นไรนั้น ยังคงเป็นปริศนา เป็นไปได้ว่าบางส่วนอาจจะอยู่ในเมืองต่อไปและค่อยๆ หันมาใช้ภาษาเขมรแทน ในขณะที่บางส่วนอาจอพยพลี้ภัยไปตามที่ต่างๆ ซึ่งอาจเป็นไปตามข้อสันนิษฐานของ ดร. ธิดาสาระยาที่เชื่อว่าคนกลุ่มนี้ส่วนหนึ่งอพยพไปตามพื้นที่ป่าเขาแถบเพชรบูรณ์ชัยภูมิและนครราชสีมา

ดังนั้น คำถามที่น่าสนใจตามมาคือ แล้วในพื้นที่ที่เชื่อว่าชาวรามัญอพยพไปนี้มีหลักฐานใดบ้างที่บ่งบอกร่องรอยบ้าง และชาวญัฮกุรที่สืบทอดภาษามอญโบราณนี้อาศัยในเขตป่าเขานี้ตั้งแต่เมื่อใด

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่ 


หมายเหตุ : คัดเนื้อหาส่วนหนึ่งจากบทความ “สงครามแย่งปราสาทในตำนานชาวญัฮกุร (เนียะกุรและข้อสันนิษฐานการสลายตัวของรัฐทวารวดี” เขียนโดย ผศ. พิพัฒน์ กระแจะจันทร์ ในศิลปวัฒนธรรม ฉบับพฤศจิกายน 2561


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 18 พฤษภาคม 2563