งานศพทางเรือนาค ก่อนมีพระเมรุ

เรือพระที่นั่งรูปพญานาคเจ็ดเศียรสมัยสมเด็จพระนารายณ์แห่งกรุงศรีอยุทธยา จากหนังสือ 'Voyage Du Siam Des Peres Jesuites' ของบาทหลวงกีย์ ตาชารด์ (Guy Tachard) ตีพิมพ์เมื่อ ค.ศ.1688

ในงานศพสมัยโบราณต้องมีเรือนาคเป็นเรือสำคัญเพื่อส่งวิญญาณกลับสู่โลกเดิม คือบาดาลหรือนาคพิภพ เพราะผู้ที่จะพาวิญญาณกลับไปได้อย่างปลอดภัยต้องเป็นนาคเท่านั้น

เรื่องเรือนาคมีร่องรอยและหลักฐานในงานถวายพระเพลิงพระบรมศสมเด็จพระไชยราชาธิราช ยุคต้นกรุงศรีอยุธยา (อยู่ในบทแปลเรื่อง “การท่องเที่ยว การเดินทาง และการผจญภัยของเฟอร์ดินันด์ เมนเดซ ปินโต” แปลโดย นันทา วรเนติวงศ์ จากต้นฉบับภาษาอังกฤษเรื่อง The Travels,Voyages and Adventures of Ferdinand Mendaz Pinto พิมพ์อยู่ในหนังสือ “รวมเรื่องแปลหนังสือและเอกสารประวัติศาสตร์ ชุดที่ 3” กรมศิปลากร 2538)

บรรยากาศพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพที่ชาวยุโรปพรรณนาไว้อาจไม่ตรงกับความรับรู้ของคนในปัจจุบัน แต่ไมไ่ด้หมายความว่าไม่ถูกต้อง ฉะนั้นต่้องอ่านด้วยความระมัดระวัง (จัดย่อหน้าใหม่เพื่อให้อ่านสะดวก)

“บรรดาพิธีซึ่งต้องทำในการนั้น อันเป็นขนบธรรมเนียมของประเทศนี้คือ ตั้งฟืนกองใหญ่อันมีไม้จันทน์ ไม้กฤษณา ไม้กลำพัก และกำยาน แล้วนำพระศพของพระเจ้าแผ่นดินองค์ซึ่งสวรรคตนั้นขึ้นวางเหนือกองฟืนดังกล่าว จุดไฟเผาด้วยวิธีการอันแปลกประหลาด

ระหว่างเวลาที่พระศพกำลังไหม้ไฟอยู่ บรรดาประชาชนไม่ทำอะไร เอาแต่ร้องไห้คร่ำครวญเหนือการแสดงออกทั้งหมด

แต่ในที่สุดพระศพก็กลายเป็นเถ้าถ่าน พวกเขาเก็บไว้ในพระโกฐเงิน ซึ่งพวกเขาได้จัดลงเรือซึ่งตกแต่งสวยงามมาก ติดตามไปด้วยเรือ 40 ลำ มีพระสงฆ์นั่งเต็ม ซึ่งเป็นพระมีสมณศักดิ์สูงที่สุด…

ต่อจากนั้นก็เป็นขบวนเรือเล็กๆ 100 ลำ บรรทุกรูปปั้นสัตว์ต่างๆ เป็นรูปงู สัตว์เลื้อยคลาน เสือ สิงโต คางคก งูใหญ่ ค้างคาว ห่าน เป็ด สุนัข ช้าง แมว แร้ง ว่าว กา และสัตว์อื่นๆ ซึ่งทำขึ้นมาคล้ายๆ กันนั้น รูปสัตว์เหล่านั้นดูมีชีวิตชีวาเหมือนกับว่ามีชีวิต

ในเรือใหญ่อีกลำหนึ่งมีเจ้าแห่งรูปปั้นทั้งหลาย ซึ่งพวกเขาเรียกว่า งูถ้ำแห่งหลุมลึกแห่งถ้ำงู รูปปั้นนี้มีรูปเป็นงูประหลาดตัวใหญ่เท่าถัง…และบิดเบี้ยวไป 9 หยัก เมื่อเหยียดลำตัวออกแล้วจะยาวกว่า 100 คืบ หัวตั้งตรงขึ้นพ่นไฟซึ่งทำขึ้นออกมาทางตา ทางลำคอและอก ซึ่งทำให้สัตว์ประหลาดนี้ดูน่ากลัวและดูโกรธเกรี้ยว…

ในขบวนนี้ เรือเหล่านี้ทุกๆ ลำไปขึ้นบกที่วัด ชื่อวัด…พระอัฐิและพระอังคารของพระเจ้าแผ่นดิน ซึ่งบรรจุอยู่ในโกฐเงิน ได้ถูกประดิษฐานไว้ที่นั่น…

แล้วจุดไฟเผาบรรดารูปสัตว์จำนวนนับไม่ถ้วน ทั้งอยู่ในลักษณะยืนในเรือ

และพร้อมกันนั้นก็มีเสียงน่ากลัวไม่หยุดหย่อน มีเสียงปืนใหญ่ ปืนครก กลอง ระฆัง แตร และเสียงหนวกหูประเภทอื่นๆ อีก ด้วยเหตุนี้จึงเป็นไปไม่ได้ที่ได้ยินแล้วจะไม่สั่น

พิธีนี้สิ้นสุดลง ในเวลาไม่ถึงชั่วโมง เพราะว่าพวกรูปเหล่านี้ทำด้วยวัตถุที่ไหม้ไฟได้ และเรือก็เต็มไปด้วยน้ำมันดินและยางสนหรือชัน น่ากลัวมาก เปลวไฟปรากฏขึ้นมาตอนนั้น ดังที่คนอาจกล่าวได้ดีว่ามันเป็นเปลวไฟที่พลุ่งมาจากนรก

ดังนั้นในชั่วครู่นั้น บรรดาเรือนั้นๆ และสิ่งทั้งหมดซึ่งอยู่ในเรือเหล่านั้นก็ค่อยๆ หมดไป

เมื่อถึงตอนนี้ และบรรดาสิ่งประดิษฐ์อื่นๆ ซึ่งดูมีชีวิตชีวาซึ่งมีราคาจำนวนมากไหม้หมดไปแล้ว บรรดาประชาชนทุกคนซึ่งมาชุมนุมออกันอยู่ที่นี่ และดูเหมือนมีจำนวนนับไม่ถ้วน ก็ได้คืนกลับสู่บ้านเรือนของตน…”

(คัดจากหนังสือเรื่อง  “พระเมรุ” ทำไม? มาจากไหน โดย สุจิตต์ วงษ์เทศ. 2551)