สถิติชี้ นักท่องเที่ยวแห่ชม “นครวัด” แน่นขนัดยิ่งกว่าเดิม แม้ค่าตั๋วพุ่งเกือบสองเท่า

กลุ่มนักท่องเที่ยวตั้งท่าถ่ายรูปหน้าอุทยานประวัติศาสตร์นครวัด เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2017 (AFP PHOTO / TANG CHHIN SOTHY)

หลังมาตรการขึ้นค่าตั๋วเข้าชมอุทยานประวัติศาสตร์นครวัดมีผลผ่านไปได้ราวหนึ่งเดือน Angkor Enterprise หน่วยงานที่ดูแลเรื่องการจำหน่ายตั๋วได้เผยสถิติแสดงให้เห็นว่า มาตรการดังกล่าวมิได้ส่งผลกระทบต่อตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ประสงค์จะเดินทางมาชมความยิ่งใหญ่ของปราสาทโบราณแห่งนี้แต่อย่างใด

การขึ้นราคาดังกล่าว เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติจะต้องจ่ายค่าผ่านทางแบบรายวันที่ราคา 37 ดอลลาร์ (ราว 1,281 บาท) จากเดิม 20 ดอลลาร์ (ราว 693 บาท) ส่วนบัตรผ่านแบบ 3 วัน ราคาเพิ่มขึ้นเป็น 62 ดอลลาร์ (ราว 2,147 บาท) จากเดิม 40 ดอลลาร์ (ราว 1,385 บาท) และบัตรผ่านแบบหนึ่งสัปดาห์ปัจจุบันราคาอยู่ 72 ดอลลาร์ (ราว 2,493 บาท) เพิ่มขึ้นจากเดิม 12 ดอลลาร์

รายงานฉบับดังกล่าวซึ่งเผยแพร่เมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมาระบุว่า ตัวเลขรายรับรวมจากการขายบัตรในช่วงไตรมาสแรก ได้เพิ่มขึ้นเป็น 30.85 ล้านดอลลาร์ (ราว 1,068 ล้านบาท) หรือเพิ่มขึ้นเป็นอัตรา 51% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีที่ผ่านมา ขณะที่ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติก็ยังขยับเพิ่มขึ้นเป็น 764,146 คน หรือเพิ่มขึ้น 8.95% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีที่แล้ว (Khmer Times)

อย่างไรก็ดี มีผู้เชี่ยวชาญด้านการท่องเที่ยวจำนวนหนึ่งได้แสดงความเป็นห่วงกับการตัดสินใจเพิ่มราคาค่าเข้าชมพุ่งสูงขึ้นขนาดนี้ ด้วยเกรงว่านักท่องเที่ยวบางส่วนที่ให้ความสำคัญกับค่าใช้จ่ายจะเบี่ยงเบนไปท่องเที่ยวยังสถานที่อื่น หรือประเทศอื่นไปเลยก็เป็นได้

“เรากังวลว่า ถ้าเราเพิ่มราคาเร็วเกินไป นักท่องเที่ยวจะไม่มาเที่ยววิหารแห่งนี้” Chhay Sivlin ประธานสมาคมตัวแทนการท่องเที่ยวกัมพูชา (Cambodia Travel Agent Association) กล่าว ทั้งนี้จากรายงานของ Phnom Penh Post ก่อนเสริมว่า สถิติที่เพิ่งเผยแพร่ไปนั้นมีสถิติหลังการขึ้นค่าตั๋วรวมอยู่เพียงสองเดือนเท่านั้น จึงเร็วเกินไปที่จะบอกได้ว่ากระแสของนักท่องเที่ยวตลอดปีจะเป็นอย่างไร

ด้าน Ho Vandy เลขาธิการใหญ่ของสหพันธ์การท่องเที่ยวแห่งชาติของกัมพูชา (National Tourism Alliance) กล่าวว่า การประเมินผลกระทบจากการขึ้นราคาค่าตั๋ว น่าจะต้องรอดูสถานการณ์โดยรวมของไตรมาสต่อไปเสียก่อนว่าจะยังรักษาระดับอัตราการเติบโตเอาไว้ได้หรือไม่