รัสเซียรื้ออดีตสมัย “ซาร์” ใต้พระราชวังเครมลิน ที่ถูกคอมมิวนิสต์ทำลาย

ภาพถ่ายเมื่อ 20 ตุลาคม 2016 ขณะนักโบราณคดีขุดสำรวจพื้นที่ใต้อาคารปีกที่ 14 (AFP PHOTO / Natalia KOLESNIKOVA)

นักโบราณคดีเริ่มขุดค้นพื้นที่ใต้อาคาร “ปีกที่ 14” ภายในรั้วพระราชวังเครมลิน กรุงมอสโคว ประเทศรัสเซีย หลังได้รับไฟเขียวจากรัฐบาลให้รื้อถอนอาคารเดิมซึ่งสร้างขึ้นทับรากฐานอาคารสำคัญสมัยระบอบกษัตริย์ที่ถูกทำลายโดยรัฐบาลโซเวียต

ข้อมูลจากเอเอฟพีระบุว่า อาคารปีกที่ 14 ถูกสร้างขึ้นในปี 1932 หลังจากบอลเชวิกทำลายศาสนสถานสองแห่งที่สำคัญที่สุดของรัสเซียคือวิหารชูดอฟ (Chudov monastry) ที่สมาชิกราชวงศ์ใช้ประกอบพิธีรับศีลล้างบาป และสำนักชีแห่งการขึ้นสวรรค์ของพระคริสต์ (Ascension convent) ซึ่งมีพื้นที่ส่วนหนึ่งสำหรับใช้เป็นที่ฝังศพของสมาชิกราชวงศ์ฝ่ายหญิง

การรื้อทำลายครั้งนี้ไม่ใช่เพียงเพื่อประโยชน์ใช้สอย แต่เป็นด้วยเหตุผลทางอุดมการณ์” ยูเลีย ราตอมสกายา (Yulia Ratomskaya) นักประวัติศาสตร์ด้านสถาปัตยกรรมซึ่งเชี่ยวชาญด้านสถาปัตยกรรมยุคกลางของรัสเซียกล่าวกับเอเอฟพี โดยชี้ว่า มาตรการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายของรัฐบาลทหารไร้ศาสนาแห่งโซเวียตที่ต้องการทำลาย หรือเปลี่ยนความหมายของโบสถ์ต่างๆ ทั่วประเทศ

รายงานกล่าวว่า เดิมทีรัฐบาลโซเวียตที่เพิ่งก้าวขึ้นมามีอำนาจหลังการปฏิวัติได้เข้ามาซ่อมแซมความเสียหายที่เกิดขึ้นระหว่างการปฏิวัติในปี 1917 ก่อนตัดสินใจทำลายทิ้ง ในปี 1929 แล้วสร้างโรงเรียนเตรียมทหารของกองทัพแดงขึ้นมาแทนที่ โดยไม่ยอมทำตามสัญญาที่จะรักษาภาพเขียนฝาผนังในศตวรรษที่ 16 และให้นักอนุรักษ์มีโอกาสได้ร่างแบบเก็บไว้

“เมื่อนักอนุรักษ์มาถึงเพื่อที่จะทำงาน พวกเขากลับพบว่าเครื่องไม้เครื่องมือสำหรับตรวจวัดของพวกเขา พร้อมกับภาพเขียนฝาผนังเกือบทั้งหมดได้ถูกฝังอยู่ใต้ซากปรักหักพังไปแล้ว” ราตอมสกายา กล่าว

เดิมรัฐบาลของวลาดิเมียร์ ปูติน มีแผนที่จะรื้ออาคารปีกที่ 14 ทิ้ง เพื่อก่อสร้าง วิหารและสำนักชีที่เคยมีอยู่เดิมขึ้นมาใหม่ แต่ถูกต่อต้านจากผู้เชี่ยวชาญทำให้โครงการถูกระงับไปก่อน

“ซากหินเหล่านี้ผ่านประวัติศาสตร์มาแล้ว มัน (วิหารและสำนักชี) เป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ แต่มันก็ไม่ถูกนะที่จะสร้างโมเดลขนาดเท่าของจริงขึ้นมาแทน…เมื่อคุณทำผิดไปแล้วครั้งหนึ่ง คุณไม่อาจย้อนกลับไปแก้ไขได้” นักประวัติศาสตร์สถาปัตย์ กล่าว

ถึงขณะนี้ นักโบราณคดีขุดพบวัตถุโบราณมีค่าในพื้นที่แห่งนี้ได้แล้วกว่า 2 พันชิ้น ซึ่งมิได้มีเพียงศิลปวัตถุจากอารยธรรมของชาวสลาฟเท่านั้น แต่ยังพบเครื่องปั้นดินเผาที่มีอายุกว่า 2,000 ปี ซึ่งน่าจะเป็นของชาว Finno-Ugric (เป็นกลุ่มภาษาที่สืบทอดมาถึงชาวฟินแลนด์ และฮังการีในปัจจุบัน) รวมอยู่ด้วย