เผยแพร่ |
---|
เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม ณ ห้องโถงมติชนอคาเดมี มีการจัดสโมสรศิลปวัฒนธรรมเสวนา หัวข้อ “หมอบรัดเลย์ : นายแพทย์-นักหนังสือพิมพ์ ผู้สร้าง ‘มีเดียใหม่’ ในสยาม” โดย นายแพทย์คทาวุธ โลกาพัฒนา จากโรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน และนายปรามินทร์ เครือทอง นักเขียนสารคดีประวัติศาสตร์ชื่อดัง ดำเนินรายการโดยนายธงชัย ลิขิตพรสวรรค์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายในงานมีการจัดโชว์หนังสือต้นฉบับอายุกว่า 100 ปี จากโรงพิมพ์ของหมอบรัดเลย์ อาทิ นิราศลอนดอน บันทึกของหมอบรัดเลย์ หนังสือสามก๊กฉบับโรงพิมพ์หมอบรัดเลย์ รวมถึงบันทึกวิธีการปลูกฝีที่เขียนขึ้นโดยหมอบรัดเลย์
คลิปสโมสรศิลปวัฒนธรรมเสวนา (ช่วงที่ 1) หมอบรัดเลย์ : นายแพทย์ – นักหนังสือพิมพ์ ผู้สร้าง “มีเดียใหม่” ในสยาม
สโมสรศิลปวัฒนธรรมเสวนา (ช่วงที่ 2) หมอบรัดเลย์ : นายแพทย์ – นักหนังสือพิมพ์ ผู้สร้าง “มีเดียใหม่” ในสยาม
นายแพทย์คทาวุธกล่าวว่า หมอบรัดเลย์ หรือชื่อเต็มคือ แดน บีช แบรดลีย์ ชีวิตประวัติของหมอบรัดเลย์ตั้งแต่สมัยเรียนจนถึงการเดินทางเข้ามาเผยแผ่ศาสนาในมิชชันนารีเข้ามาในประเทศไทย ตลอดการเข้ามาอยู่ในประเทศไทย หมอบรัดเลย์ได้บุกเบิกการแพทย์ที่ทันสมัย โดยก่อตั้งคลินิกโอสถศาลาเพื่อรักษาโรคผิวหนังและดวงตาของคนไทย จนมีการผ่าตัดอวัยวะครั้งแรกของไทย ซึ่งหากสมัยนั้นการแพทย์ของไทยการตัดอวัยวะก็เท่ากับตาย แต่หมอบรัดเลย์สามารถทำให้คนรอดชีวิตได้ แม้จะไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่าหมอบรัดเลย์คือผู้ริเริ่มการผ่าอวัยวะครั้งแรกของไทย แต่เพราะท่านเป็นคนชอบเขียน รักในการจดทุกอย่าง จึงทำให้มีหลักฐานที่อ้างอิงได้ว่าท่านคือคนแรก
นายแพทย์คทาวุธกล่าวต่อว่า หมอบรัดเลย์ยังเป็นผู้บุกเบิกการผ่าตัดต้อกระจกให้กับชาวสยาม ซึ่งสมัยก่อนจะใช้วิธีการนำเข็มกระแทกเข้าไปในดวงตา ทำให้เลนส์ตาที่ขุ่นตกลงไปใต้ตา จนสามารถมองเห็นได้ แต่เป็นวิธีที่อันตราย เพราะสุดท้ายจะทำให้ตาบอด แต่ในปี ค.ศ.1745 มีวิธีรักษาแบบใหม่ด้วยการเปิดกระจกตา งัดด้วยเครื่องมือให้ต้อกระเด็นออกมาด้านนอก ซึ่งคนที่ทำวิธีนี้ต้องมีความชำนาญ และในประเทศอเมริกาสมัยนั้นหมอหลายคนทำได้ ซึ่งหมอบรัดเลย์เป็นหนึ่งในนั้น
“หมอบรัดเลย์เป็นผู้บุกเบิกวิทยาการทางการแพทย์ในประเทศไทยหลายอย่าง โดยเฉพาะการปลูกฝีเพื่อทำวัคซีนกันไข้ทรพิษที่เคยคร่าชีวิตคนสยามไปกว่าครึ่งทุกครั้งที่มีการระบาด นอกจากนี้ยังเป็นผู้เขียนตำรา การปลูกฝีและตำราการผดุงครรภ์ที่สอนให้คนไทยยกเลิกการอยู่ไฟหลังการคลอดบุตร ทั้งยังแปลงบ้านของตัวเองใช้เป็นโรงพยาบาลรักษาคน และมีความใกล้ชิดกับราชวงศ์ไทยสมัยนั้น” นายแพทย์คทาวุธกล่าว
ด้านนายปรามินทร์กล่าวว่า ต้องไม่ลืมว่าความจริงแล้วงานหลักของหมอบรัดเลย์คือการเผยแผ่ศาสนา ซึ่งงานหมอหรืองานหนังสือพิมพ์จะเป็นอุบายของหมอบรัดเลย์ที่ใช้ในการเผยแผ่ศาสนา โดยที่ท่านได้สร้างใบปลิวแจกให้กับคนไข้ เป็นการอวยพรว่า หากอธิฐานกับพระเจ้าก็จะหายดี พร้อมกับการจ่ายยารักษาไปพร้อมกัน ทั้งนี้ เส้นทางชีวิตของหมอบรัดเลย์ในด้านการสร้างมีเดียใหม่ หรือการมาของหมอบรัดเลย์มีจุดมุ่งหมายในการเผยแผ่ศาสนา อีกเรื่องหนึ่งนั้นคือการต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน โดยมีวัตถุประสงค์ที่ดีและเชื่อว่าการเข้ามาช่วยเหลือประเทศไทยที่ถือเป็นประเทศที่ล้าหลังในตอนนั้นคือพันธกิจหลัก
“จุดเปลี่ยนที่สร้างประวัติศาสตร์ในไทยคือ การก่อตั้งโรงพิมพ์และทำหนังสือพิมพ์ชื่อว่า ‘หนังสือจดหมายเหตุ’ หรือบางกอกรีคอร์เดอร์ เป็นสิ่งใหม่สำหรับสังคมไทยสมัยนั้น ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่มีใครที่จะมากล้าวิจารณ์สังคมไทยมาก แต่หมอบรัดเลย์ได้ทำหนังสือจดหมายเหตุที่วิจารณ์ประเทศไทยในทุกเรื่อง เพราะฝรั่งในยุคนั้นได้รับการคุ้มครองอย่างมาก หมอบรัดเลย์จึงเห็นโอกาสเหล่านั้นในการวิจารณ์สังคมไทยหลายอย่าง เช่นการบอกว่า คนไทยไม่อ่านหนังสือพิมพ์ ไม่เหมือนคนยุโรป เป็นคนหาปัญญามิได้ นอกจากนี้ยังมีเนื้อหาความแสบสันที่หมอบรัดเลย์เขียนเสียดสีรัฐบาลไทยผ่านหนังสือพิมพ์ของเขา สร้างชื่อเปิดตัวให้คนไทยสมัยนั้นได้รับรู้ถึงความเป็นหนังสือพิมพ์
“นอกจากความแสบสันของหนังสือจดหมายเหตุของหมอบรัดเลย์แล้ว ภาพบันทึกของหนังสือจดหมายเหตุยังปรากฏว่า มีคนไทยจำนวนมากส่งเรื่องร้องทุกข์หาหมอบรัดเลย์ให้ช่วยลงในหนังสือจดหมายเหตุ จนมีการประกาศงดใช้สื่อไม่ให้ร้องทุกข์ไปที่หนังสือจดหมายเหตุ เพราะอุทธรณ์จะมาไม่ถึง และหมอบรัดเลย์ยังได้รับการเขียนจดหมายด่าทอด้วยความคาใจที่ลงแต่เรื่องซ้ำๆ โดยในช่วงยุคปลายของหนังสือจดหมายเหตุ ได้เกิดภาวะขาดทุน และหมอบรัดเลย์ได้ออกหนังสือเป็นฉบับสุดท้ายโดยมีข้อความหนึ่งระบุว่า ‘ตั้งแต่นี้จะลาท่านทั้งปวง ขอให้ท่านทั้งหลายจงอยู่เป็นสุขเถิด’” นายปรามินทร์กล่าว