ที่มา | ศิลปวัฒนธรรม ฉบับกันยายน 2541 |
---|---|
ผู้เขียน | สาลิน วิรบุตร์ |
เผยแพร่ |
ในอดีต ผู้คนเชื่อว่าสรรพสิ่งบนโลกเกิดมาจากพระเจ้าดลบันดาลขึ้น ดาวหางที่จู่โจมเข้ามาในท้องฟ้าจึงเหมือนเป็นสัญญาณเตือนภัยที่พระเจ้าต้องการสื่อสารกับมนุษย์ ส่วนใหญ่เชื่อว่าดาวหางเป็นลางบอกเหตุร้าย ความตายของบุคคลสำคัญ และโรคระบาด
มีเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ที่แสดงถึงความเชื่อเกี่ยวกับดาวหางไว้หลายเรื่อง อาทิ
วิญญาณของจูเลียส ซีซาร์
จูเลียส ซีซาร์ จอมเผด็จการผู้ตั้งตนเป็นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรโรมัน ถูกลอบปลงพระชนม์ด้วยมือมีดสังหาร 24 คน ในรัฐสภาเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 499 (44 ปีก่อนคริสต์ศักราช) หลังจากนั้นเกิดการแบ่งแยกแตกเป็นหลายก๊กหลายเหล่า บุตรบุญธรรมของซีซาร์ชื่อ ออกตาเวียน หัวหน้าพรรคซีซาเรียน พยายามหาหนทางโน้มน้าวครองใจประชาชนด้วยกลอุบายต่างๆ ที่แยบยล
ในครั้งนั้นมีดาวหางดวงสว่างเข้ามาปรากฏในท้องฟ้าตอนหัวค่ำนาน 7 วัน ออกตาเวียนประกาศทันทีว่าดาวหางคือดวงวิญญาณของซีซาร์เดินทางสู่สรวงสวรรค์ ผู้คนทั้งหลายยกย่องซีซาร์อยู่แล้ว จึงยอมรับความคิดดังกล่าวได้โดยง่ายและบูชาซีซาร์ประดุจเทพเจ้า
ออกตาเวียนยังใช้เทคนิคอุบายอีกหลายอย่างให้สัมพันธ์เกี่ยวข้องกับซีซาร์ อาทิ ใส่ภาพดาวหางลงบนเหรียญเงินที่ประชาชนใช้กัน บนแหวน หมวกเหล็ก และรูปปั้นของซีซาร์ทุกแห่ง นอกจากนั้นยังมีบทเพลง บทกวี โดยพยายามโน้มน้าวจิตใจผู้คนชาวโรมันให้เกิดความรู้สึกคล้อยตาม จากนั้นอีกราว 1 ปีครึ่ง รัฐสภาก็ประกาศยกย่องให้ซีซาร์เป็นพระเจ้าองค์หนึ่ง
ออกตาเวียนเริ่มต้นเส้นทางการเมืองโดยอาศัยอิงชื่อเสียงและอำนาจของจูเลียส ซีซาร์ กับดาวหางที่บังเอิญเข้ามาในปีนั้น สร้างภาพและอำนาจบารมีให้ตนเองเพื่อการปกครองอาณาจักรโรมัน ออกตาเวียนขึ้นเป็นกษัตริย์โรมันโดยชื่อว่า ออกัสตุส ซีซาร์
ในกรณีนี้ จึงเป็นการใช้ดาวหางเพื่อกลยุทธ์ทางการเมือง กล่าวโดยสรุปคือ
1. ดาวหางกลายเป็นสัญลักษณ์แสดงพลังอำนาจลึกลับของซีซาร์ ที่ใช้ประกาศข่มขวัญปราบคู่แข่งคนอื่นอย่างราบคาบ ไม่มีสัญลักษณ์รูปอื่นใดสามารถมีพลังเทียบได้
2. การยกย่องซีซาร์ให้ผู้คนยอมรับว่าเป็นพระเจ้า ทำให้ออกตาเวียนได้ภาพใหม่คือ กลายเป็นบุตรพระเจ้าทันที จึงเป็นการถ่ายเทพลังอำนาจ สร้างภาพลักษณ์ให้ตนเองได้อย่างฉับพลัน
3. การใช้กลอุบายสัมพันธ์เรื่องดาวหางกับพระเจ้าเป็นครั้งแรกของผู้นำอาณาจักรโรมัน ได้กลายเป็นคัมภีร์ทางการเมืองของกษัตริย์โรมันยุคต่อๆ มา
ดาวหางกับกษัตริย์เนโร
ในปี ค.ศ. 54 มีดาวหางสว่างเข้ามาเกี่ยวข้องกับอาณาจักรโรมันอีกเมื่อกษัตริย์ คลอเดียส ถูกชายา อะกริปปินา วางยาพิษ เพื่อให้พระราชโอรส เนโร ขึ้นเป็นกษัตริย์แทน
เนโรขึ้นครองบัลลังก์ขณะพระชนมายุเพียง 16 พรรษา โดยมีนักปรัชญา เซเนคา ผู้เป็นครู กับทหารองครักษ์ เบอร์รุส เป็นที่ปรึกษาบริหารบ้านเมือง
ในปี ค.ศ. 60 มีดาวหางสว่างเข้ามาปรากฏในท้องฟ้าตั้งแต่เดือนสิงหาคม-ธันวาคม นักประวัติศาสตร์โรมันบันทึกไว้ว่า “ผู้คนทั่วไปเชื่อว่าการปรากฏของดาวหางหมายถึงการเปลี่ยนแผ่นดิน และพากันคาดเดาว่าใครจะเป็นผู้สืบบัลลังก์ต่อจากเนโร”
ในครั้งนั้น เนโรสั่งเนรเทศและสังหารทหารกล้าทุกคน ด้วยเกรงจะเป็นอันตรายต่อตนเอง เซเนคา นักปราชญ์ต้องปลอบใจเนโรด้วยการเสนอแง่มุมมองดาวหางใหม่ในทางฟิสิกส์ โดยอธิบายว่า ดาวหางไม่เกี่ยวกับพระเจ้าแต่อย่างใด และพยายามชี้ให้เห็นความแตกต่างทางลักษณะกายภาพของดาวหางที่เข้ามาในยุคของกษัตริย์คลอเดียส กับดาวหางในยุคเนโรว่ามีทิศทางเดินในท้องฟ้าต่างกัน
แต่กษัตริย์เนโรหวาดวิตกกลัวดาวหางจนถึงขั้นสั่งประหารพระราชมารดาของตนเอง ชายา 2 องค์ ญาติพี่น้องและเพื่อนฝูงทั้งหมด
มาในปลายปี ค.ศ. 64 มีดาวหางสว่างอีกดวงหนึ่งเข้ามาปรากฏ นักประวัติศาสตร์โรมัน บันทึกไว้ว่า “ดาวหางดวงนี้ถูกสังเวยด้วยเลือดของเหล่านักปราชญ์แทนชีวิตของกษัตริย์” เมื่อโหรหลวงเสนอว่าพระองค์สามารถหลุดพ้นจากความกริ้วของพระเจ้าได้ หากสังเวยชีวิตด้วยบุคคลที่มีชื่อเสียงในสังคมแทน เนโรจึงสั่งประหารขุนนางรวมทั้งนักปราชญ์ในวงสังคมชั้นสูง แม้แต่เซเนคา ครูของเนโร ต้องฆ่าตัวตาย เพราะหนีคำสั่งประหารของลูกศิษย์ตัวเองด้วยเช่นกัน
ดาวหางกับกษัตริย์ มอนเตสซูมา
อาณาจักรแอสเทค อยู่ในตอนกลางของทวีปอเมริกา มีการขยายตัวยิ่งใหญ่ในปี ค.ศ. 1427 มีเมืองหลวงชื่อ Tenochtitlan ซึ่งตั้งอยู่บนฝั่งเดียวกับเม็กซิโกซิตี ปัจจุบัน
กษัตริย์มอนเตสซูมาที่ 2 ขึ้นเป็นเจ้าครองเมืองในปี ค.ศ. 1502 มีกองทัพทหารเข้มแข็ง เกรียงไกร และทำสงครามขยายอาณาจักรไม่สิ้นสุด
ในปี ค.ศ. 1517 มีดาวหางเข้ามาปรากฏตอนเที่ยงคืนและหายไปในแสงรุ่งอรุณ กษัตริย์มอนเตสซูมาเชื่อว่าดาวหางเป็นลางร้าย ผู้คนจะล้มตายจำนวนมาก บอกถึงการการล่มสลายของอาณาจักร ความหวาดกลัวทำให้มอนเตสซูมาถึงกับต้องหนีจากบัลลังก์และซ่อนตัวในถ้ำ
ในปี ค.ศ. 1519 ทหารเสปนบุกแอสเทค แม้ว่าแอสเทคจะเป็นอาณาจักรใหญ่ มีกำลังกองทัพมาก แต่ความหวาดกลัวดาวหางทำให้มอนเตสซูมาปล่อยให้กองทหารสเปนยึดเมืองได้โดยไม่ต่อต้านเลย มอนเตสซูมาถูกจับ ผู้คนล้มตายจำนวนมาก เกิดโรคระบาด และในที่สุดอาณาจักรแอสเทคก็ล่มสลายลงอย่างที่กษัตริย์มอนเตสซูมาหวาดกลัว
เรื่องของดาวหางกับกษัตริย์มอนเตสซูมา จึงเป็นความสูญสิ้นที่เกิดจากการกระทำให้สอดคล้องกับความเชื่อของตนเอง เพราะมอนเตสซูมาปล่อยให้กองทัพสเปนเข้ายึดครองเมืองโดยไม่ต่อต้านเลย
โรคหวาดกลัวดาวหาง
ในปี ค.ศ. 1910 (พ.ศ. 2453) ดาวหางแฮลลีย์ หวนกลับมาอีกครั้ง คราวนี้เข้ามาใกล้โลก จึงเห็นเป็นดวงสว่างมากจนผู้คนหวาดวิตกเกรงว่าดาวหางจะพุ่งเข้าชนโลก ความกลัวของชาวโลกเกิดจากการกระพือข่าวสารเพิ่มความเข้มข้นรุนแรงของดาวหางจนเกินกว่าเหตุของบรรดาหนังสือพิมพ์
เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2453 โลกเพียงแต่เคลื่อนที่ผ่านเข้าไปในหางดาวหาง และนักดาราศาสตร์เพิ่งค้นพบก๊าซพิษไซอาโนเจนในหางดาวหาง ยิ่งทำให้หนังสือพิมพ์พาดหัวข่าวเป็นที่ตื่นเต้นกันทั่วไป อาทิ
– พบก๊าซพิษในหางดาวหาง นักดาราศาสตร์ฝรั่งเศสเชื่อว่าก๊าซพิษมีผลต่อบรรยากาศโลก
– ชาวบ้านอุดรูรั่วตามช่องประตู หน้าต่างบ้านกันก๊าซพิษดาวหาง
ในครั้งนั้นถึงกับมีการขายยาเม็ดกันพิษดาวหาง ยาสูดดม และถุงป้องกันพิษดาวหาง
ดาวหางนำสิ่งเลวร้าย มายังโลกหรือ?
จากบัญชีดาวหาง 35 ดวงของชาวตะวันตก พบว่ามีเพียง 2 ดวงที่มีความหมายในทางดี แต่ส่วนใหญ่แล้วไม่ว่าจะเป็นชาติใด อาทิ สวีเดน ทิเบต จีน แอสแทค อินคา สหรัฐอเมริกา ฯลฯ ล้วนแต่มีบันทึกสัมพันธ์ดาวหางกับเหตุการณ์ร้าย บุคคลสำคัญเสียชีวิต ซึ่งสร้างความหวาดกลัวจนฝังลึกในจิตใจมนุษย์สืบต่อกันเรื่อยมา
ความหวาดกลัวเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ยุคก่อนมนุษย์หวาดกลัว เนื่องจากความไม่สามารถรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าว่าจะเกิดปรากฏการณ์ในท้องฟ้า ไม่ว่าจะเป็นฃสุริยุปราคา จันทรุปราคา ดาวหาง ดาวตก ซึ่งมนุษย์เห็นเป็นเหตุการณ์ไม่ปกติธรรมดาของธรรมชาติตามที่คุ้นเคยอยู่ทุกวัน
ดาวหางจึงเป็นเครื่องหมายของความอุบาทว์ หายนะมาโดยตลอด จนแม้เมื่อ เอ็ดมันด์ แฮลลี่ย์ และ ไอแซค นิวตัน เสนอข้อค้นพบว่า ดาวหางเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่มนุษย์สามารถรู้ล่วงหน้าได้ และเป็นไปตามกฏเกณฑ์ธรรมชาติของวัตถุท้องฟ้าก็ตาม แต่ความที่มนุษย์ไม่มีความรู้ชัดเจนจึงเกิดความหวาดกลัวอย่างไม่มีเหตุผล
เมื่อนักวิทยาศาสตร์ศึกษาดาวหางมากขึ้น และเข้าใจลักษณะธรรมชาติของดาวหางว่าเป็นก้อนน้ำแข็งสกปรก มีหางที่เกือบเป็นสูญญากาศ และไม่มีความสัมพันธ์กับเหตุเภทภัยใดๆ
ความรู้เรื่องดาวหางมีมากขึ้น ทำให้มนุษย์คลายความหวาดกลัวลงได้มาก แต่ทุกวันนี้ มนุษย์เริ่มเกิดความกลัวอย่างใหม่ คือกลัวดาวหางพุ่งเข้าชนโลก ที่จะทำให้เกิดภัยพิบัติรุนแรงบนโลกได้ จึงดูเหมือนว่ามนุษย์จะต้องหวาดกลัวดาวหางอยู่ตลอดไป
ทุกวันนี้ถ้าถามว่าผู้คนยังหวาดกลัวดาวหางอยู่หรือไม่? ก็ขึ้นอยู่กับบุคคล ถ้าเป็นคนรุ่นเก่าที่ไม่มีความรู้เรื่องดาวหางมากนัก ก็อาจจะยังหวาดกลัวดาวหางอยู่ ขณะที่นักดาราศาสตร์และผู้คนอีกจำนวนหนึ่งก็สนุกกับการติดตามศึกษาและถ่ายภาพดาวหาง แขกผู้สวยสง่างามที่มาเยือนโลก แต่ทั้งนี้ก็ต้องแน่ใจว่าดาวหางดวงนั้นไม่ได้พุ่งเข้ามาชนโลกของเราแน่ๆ
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 20 กรกฎาคม 2565