ทำไมก๊กมินตั๋งล้มไม่เป็นท่า ในการแก้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจจีนปี 1948

ค.ศ. 1948 การปกครองของรัฐบาลประชาชนที่กรุงนานกิงตกอยู่ในสภาพอับจนที่มาถึงสุดปลายทาง ความวุ่นวายต่างๆ เกิดขึ้น เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นในช่วงปลายยุคราชวงศ์ ในยุคที่คนดีและคนเลวปะปนกันเช่นนี้ ยิ่งใช้มาตรการที่รุนแรงก็จะยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง การ “ปราบเสือ” ที่เซี่ยงไฮ้ของเจียงจิงกั๋วถือเป็นอุทาหรณ์ที่ดี

สงครามต่อต้านญี่ปุ่น [ค.ศ. 1937-1945] ซึ่งกินเวลานานแปดปี ทำให้เศรษฐกิจของจีนเสียหายสาหัสจนเกือบล้มละลาย ชาวบ้านต่างต้องการมีสันติภาพ พัฒนาเศรษฐกิจ และปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน แต่ ค.ศ. 1946 เจียงไคเชกกลับใช้อำนาจก่อสงครามกลางเมือง โดยไม่สนใจเจตนารมณ์ของประชาชน ค่าใช้จ่ายมหาศาลในการทำสงครามทำให้เศรษฐกิจจีนซึ่งเป็นแผลเหวอะหวะอยู่แต่เดิมแล้วนั้น มีอันต้องหมดกำลังที่จะแบกรับภาระได้อีกต่อไป

เดือนมิถุนายน ค.ศ. 1948 ค่าใช้จ่ายกองทัพคิดเป็นร้อยละ 47 ของงบประมาณทั้งหมด ตัวเลขขาดดุลสูงถึง 9.5 หมื่นล้านหยวน ขณะที่รายรับของการคลังคิดเป็นเพียงประมาณร้อยละ 5 ของรายจ่าย ช่วงเดือนมกราคม-เดือนสิงหาคม ค.ศ. 1948 ราคาสินค้าในเมืองเซี่ยงไฮ้พุ่งสูงขึ้น 56 เท่าอย่างคาดไม่ถึง

เศรษฐกิจในเขตปกครองของพรรคก๊กมินตั๋งมาถึงจุดที่พังทลายทั้งหมดแล้ว จนเกิดเพลงพื้นบ้านร้องเสียดสีรัฐบาลว่า “ก้าวเข้ากระท่อมไปถ่ายหนัก ลืมพกกระดาษเอามาด้วย ควักแบงก์ร้อยหยวน จากกระเป๋า เช็ดก้นไปมาเหมาะสมดี”

เพื่อที่จะกอบกู้วิกฤตเศรษฐกิจ รัฐบาลพรรคก๊กมินตั๋งเริ่มดำเนิน “การปฏิรูประบบเงินตรา” และ “นโยบายจำกัดราคา” วันที่ 19 สิงหาคม ค.ศ. 1948 มีประกาศคำสั่งการบริหารการคลังและเศรษฐกิจในภาวะคับขัน รวมถึงมาตรการกอบกู้เศรษฐกิจ 4 ข้อ เนื้อหาหลักมีดังนี้

1. ตั้งแต่วันที่ 19 สิงหาคมเป็นต้นไป กำหนดใช้เงินจินหยวนเชวี่ยน [เงินที่รัฐบาลก๊กมินตั๋งประกาศใช้ในจีน ภายหลังที่เจียงไคเชกก่อสงครามกลางเมือง] เป็นมาตรฐานเงินตรา เงินจินหยวนเชวี่ยนจำนวน 1 หยวนแลกเงินฝ่าปี้ได้จำนวน 3,000,000 หยวน

2. ประชาชนต้องนำทองคำ ก้อนเงิน เหรียญกษาปณ์เงิน และเงินตราต่างประเทศที่ตนเองมีอยู่ มาแลกเงินจินหยวนเชวี่ยน ภายในระยะเวลาที่กำหนด [ก่อน 30 กันยายน ค.ศ. 1948] หากเลยเวลาดังกล่าว ห้ามทุกคนครอบครองเงินรูปแบบอื่นทั้งหมด

3. ประชาชนจีนต้องลงทะเบียนเพื่อควบคุมทรัพย์สินเงินตราต่างประเทศที่ฝากไว้ในต่างประเทศภายในระยะเวลาที่กำหนด หากผู้ใดฝ่าฝืนจะถูกลงโทษ

4. จัดระเบียบการคลังและเพิ่มการควบคุมเศรษฐกิจ

เมืองเซี่ยงไฮ้เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของประเทศจีน หาก “การปฏิรูประบบเงินตรา” และ “นโยบายจำกัดราคา” ประสบความสำเร็จในเซี่ยงไฮ้ก็จะช่วยเบิกทางทำให้สามารถดำเนินการทั่วประเทศได้ทันที หากสภาพเศรษฐกิจดีขึ้น สงครามกลางเมืองก็จะดำเนินต่อไปได้ รัฐบาลพรรคก๊กมินตั๋งก็จะมีความหวังในการชุบชีวิตตนเองให้ฟื้นคืนชีพกลับมาได้ ดังนั้นเซี่ยงไฮ้จึงกลายเป็นพื้นที่สำคัญยิ่งยวดในการควบคุมเศรษฐกิจครั้งนี้

แต่เจียงไคเชกผู้เคยซื้อขายเก็งกำไรในวัยหนุ่มนั้นทราบดีว่า การใช้ธนบัตรที่ขาดความน่าเชื่อถือมาแลกกับเงินตราที่จับต้องได้ในมือของประชาชนนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย จำเป็นต้องใช้ไม้แข็งมาแก้ปัญหา เจียงไคเชกมอบภารกิจสำคัญนี้ให้กับลูกชายคนโตชื่อ เจียงจิงกั๋ว พร้อมกันนี้เจียงไคเชกได้จัดตั้ง “คณะกรรมการควบคุมเศรษฐกิจ” เพื่อมอบอำนาจให้โดยเฉพาะ โดยแต่งตั้งประธานธนาคารแห่งชาติชื่ออวี๋หงจวินเป็นผู้ควบคุมเศรษฐกิจแห่งเมืองเซี่ยงไฮ้ และแต่งตั้งเจียงจิงกั๋วเป็นรองผู้ควบคุมเศรษฐกิจแห่งเมืองเซี่ยงไฮ้ โดยเจียงจิงกั๋วเป็นผู้รับผิดชอบที่แท้จริง

หลังได้รับคำสั่งจากเจียงไคเชก เจียงจิงกั๋วตัดสินใจใช้ไม้แข็งมาปรับเศรษฐกิจใหม่ และดำเนินการควบคุมราคาสินค้า เมื่อถึงเซี่ยงไฮ้ได้เพียงสองวัน เจียงจิงกั๋วจัดพิธีตรวจพลสวนสนามทหารหนุ่มจำนวนแสนนายที่สวนสาธารณะจ้าวเฟิง (ปัจจุบันคือสวนสาธารณะจงซาน) เขาประกาศจัดตั้ง “กองกำลังใหญ่แห่งสภาบริหารเพื่อปราบจลาจลและสร้างชาติ” ซึ่งประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ 3,000 คน และ “กองกำลังรวมบริการเยาวชนเซี่ยงไฮ้”

หลังการตรวจพลสวนสนาม มีการเดินขบวนอย่างเกรียงไกร พวกเขาตะโกนเสียงดังไปตามทางว่า “ดำเนินการควบคุมราคาสินค้าตามประกาศวันที่ 19 สิงหาคม อย่างเคร่งครัด” “ห้ามกักตุนสินค้า” “โค่นล้มพ่อค้าหน้าเลือด” และ “จะปราบเสือเท่านั้นแต่ไม่จับแมลงวัน”

หลายวันต่อมาเจียงจิงกั๋วนำเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจ ซึ่งติดอาวุธครบมือจากหน่วยงาน 6 แห่งของเซี่ยงไฮ้ไปตรวจค้นโกดังสินค้า รวมถึงแหล่งจราจรทางน้ำและทางบก ทั้งออกคำสั่งว่า “สำหรับผู้ที่ฝ่าฝืนกฎหมายและละเมิดมาตรการทางการเงินในภาวะคับขัน ร้านค้าของเขาจะถูกเพิกถอนใบอนุญาตประกอบการค้า ผู้รับผิดชอบจะถูกส่งไปศาลอาญาเพื่อลงโทษตามกฎหมาย สินค้าจะถูกยึดไว้”

เจียงจึงกั๋วพยายามสำรวจราคาสินค้าที่แท้จริงด้วยการใส่ชุดนอกเครื่องแบบแอบไปสำรวจตลาดสดขนาดเล็ก จดราคาผักและเนื้อสัตว์ในวันนั้นไว้ มีการจัดตั้ง “สถานีบริการประชาชน” 11 แห่ง เพื่อเก็บข้อมูลลับที่มีผู้แจ้งมาให้โดยเฉพาะ

ช่วงแรก ชาวเซี่ยงไฮ้วิพากษ์วิจารณ์เป็นเสียงเดียวกันว่า เจียงจิงกั๋วจะจับเพียงแมลงวัน ไม่กล้าปราบเสือ

เจียงจิงถั่วพยายามแสดงว่าตนมีความตั้งใจแน่วแน่ให้คนภายนอกรู้ด้วยการปฏิบัติการอย่างเฉียบขาด

เริ่มจาก เถาฉี่หมิงเลขานุการกระทรวงการคลังถูกจับตัวและลงโทษในคดีอาญา เนื่องจากเปิดเผยความลับด้านเศรษฐกิจของประเทศและสมคบคิดกับนักธุรกิจเพื่อปั่นหุ้น

จางหนีหย้า หัวหน้าแผนกสำนักงานตำรวจเซี่ยงไฮ้ และชีไจ้อวี้หัวหน้ากองตรวจสอบใหญ่ที่ 6 ของสำนักงานป้องกันภัยเซี่ยงไฮ้ ถูกประหารชีวิต เนื่องจากขู่เข็ญรีดไถเงินจากผู้อื่น

หวังซุนเซิง ชาวจีนโพ้นทะเล ถูกประหารชีวิต เนื่องจากโอนเงินฝากไปยังนครนิวยอร์ก

นอกจากนี้ยังมีนักธุรกิจ 64 คนถูกจับเข้าคุก ในจำนวนนี้มีนักธุรกิจรายใหญ่และเศรษฐีผู้มีอิทธิพลรวมอยู่ด้วย ตัวอย่างเช่น

ตู้เหวยผิง ลูกชายของตู้เยวี่ยเซิง-เจ้าพ่อวงการมาเฟียบริเวณหาดเซี่ยงไฮ้ก็ถูกเจียงจิงกั๋วออกคำสั่งจับกุมตัวเหมือนกัน เนื่องจากตู้เหวยผิงอาศัยความสัมพันธ์อันดีส่วนตัวระหว่างบิดาของตนกับเจียงไคเชกในการขายต่อทองคำอย่างกำเริบเสืบสานโดยไม่สนใจคำสั่งห้ามของเจียงจิงกั๋ว

การที่ตู้เหวยผิงถูกจับทำให้ตู้เยวี่ยเซิงเสียหน้าอย่างหนัก ในฐานะที่เป็นหัวหน้าแก๊งอันธพาลเซี่ยงไฮ้ เป็นไปไม่ได้ที่ตู้เยวี่ยเซิงจะยอมแต่โดยดี เขารายงานเจียงจิงกั๋วว่า บริษัทหยางจื่อซึ่งบริหารโดยข่งลิ่งข่านลูกชายของข่งเสียงซี [สามีของซ่งอ้ายหลิง และพี่เขยเจียงไคเชก] ที่ชื่อนั้น กำลังฝ่าฝืนกฎหมายด้วยการกักตุนสินค้า เจียงจิงกั๋วจึงจับตัวข่งลิ่งข่านและปิดบริษัททันทีโดยไม่รีรอ

ข่งลิ่งข่านให้คนส่งโทรเลขด่วนไปหาซ่งเหม่ยหลิง-น้าสาวคนเล็กที่กรุงนานกิง หลังจากซ่งเหม่ยหลิง ทราบเรื่องแล้ว เธอก็รีบโดยสารเครื่องบินไปเซี่ยงไฮ้ พร้อมกับนัดเจียงจิงกั๋วและข่งลิ่งข่านมาเจรจาปรับความเข้าใจกันต่อหน้าที่บ้านตระกูลข่ง แต่เจียงจิงกั่วไม่ยอม ลูกพี่ลูกน้องสองคนนี้จึงทะเลาะกันยกใหญ่สุดท้ายก็แยกย้ายกันไปแบบไม่สบายใจ

ซ่งเหม่ยหลิงจึงโทรศัพท์ไปหาเจียงไคเชกซึ่งกำลังประชุมด้านการทหารอยู่ที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ขอให้เจียงไคเชกสั่งให้เจียงจิงกั๋วไม่เอาเรื่องบริษัทหยางจื่อและปล่อยตัวข่งลิ่งข่าน เจียงไคเชกทำตามคำร้องขอเขามาที่เซี่ยงไฮ้ เมื่อพบกับเจียงจิงกั๋ว เจียงไคเชกก็ตำหนิเขาว่า “ทำอะไรโจ่งแจ้งเกินไป เลยเถิดไปกันใหญ่แล้ว” พร้อมทั้งสั่งให้เจียงจิงกั่วหยุดสอบสวนและลงโทษบริษัทหยางจื่อ

เจียงจิงกั่วจำใจต้องทำตามโดยไม่มีทางเลี่ยง เมื่อลูกน้องของเจียงจิงกั๋วถามว่าตกลงแล้วจะดำเนินการกับบริษัทหยางจื่ออย่างไรต่อไป เจียงจิงกั่วตอบอย่างหมดอาลัยตายอยากว่า

“ผมเป็นลูกกตัญญู แต่ไม่สามารถจงรักภักดีต่อประเทศได้ ความกตัญญกับความจงรักภักดีมาพร้อมกันสองอย่างไม่ได้”

การที่ไม่กล้าปราบเสือตัวใหญ่จริงๆ นั้นทำให้บารมีและชื่อเสียงของเจียงจิงกั๋วในเซี่ยงไฮ้ตกลงฮวบฮาบ เจียงจิงกั๋วถูกชาวบ้านพูดจาถากถางว่า “จับแมลงวันเท่านั้น แต่ไม่ปราบเสือ” และ “คิดถึงแต่ผลประโยชน์ของพวกพ้อง แต่ไม่ห่วงผลประโยชน์ส่วนรวม”

วันที่ 5 พฤศจิกายน เจียงจิงกั๋วเดินทางออกจากเซี่ยงไฮ้ “การปราบเสือ” ที่เซี่ยงไฮ้ครั้งนี้ใช้เวลาทั้งสิ้นเพียง 70 กว่าวัน

ประชาชนชาวเซี่ยงไฮ้และประชาชนทั่วประเทศถึงตระหนักว่า แท้จริงแล้วการปฏิรูประบบเงินตราและนโยบายจำกัดราคา ซึ่งดำเนินการโดยรัฐบาลพรรคก๊กมินตั๋ง คือการรวมทรัพย์สินให้ยิ่งกระจุกตัวอยู่ในมือของคนส่วนน้อย ความมั่นใจต่อการปฏิรูปเศรษฐกิจ ต่อเงินจินหยวนเชวี่ยน พังทลายลงในพริบตา อำนาจการปกครองของพรรคก๊กมินตั๋งก็เดินทางมาถึงปลายทางแห่งความพ่ายแพ้รอบด้านอย่างรวดเร็ว

 


ข้อมูลจาก :

เส้าหย่ง, หวังไห่เฟิง-เขียน, กำพล ปิยะศิริกุล-แปล. หลังสิ้นบัลลังก์มังกร. มติชน, 2560


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 11 เมษายน 2565