เผยแพร่ |
---|
หากพูดถึงนักวิ่งในสมัยโบราณกาล ชื่อที่นักประวัติศาสตร์ต้องพูดถึงหนีไม่พ้น ลีโอไนดัส แห่งโร้ดส์ นักวิ่งโอลิมปิกในยุคกรีกโบราณ ซึ่งชนะแข่งวิ่งทั้งประเภทไม่ใส่เสื้อผ้า และแข่งวิ่งขณะสวมเกราะ
ในรอบเกือบร้อยปีที่ผ่านมา การวิ่งทั้งแบบประชันความเร็วและดวลระยะทางไกลเป็นกีฬาซึ่งได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง จากอีเวนต์ที่คนจับตาในมหกรรมกีฬา มาจนถึงวิ่งเพื่อสุขภาพ และวิ่งเพื่อแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา โลกได้รู้จักนักวิ่งในตำนานมานับไม่ถ้วน แต่ถ้าจะพูดถึงนักกีฬา(วิ่ง)ในยุคโบราณซึ่งประสบความสำเร็จระดับปัจเจกมากที่สุดคนหนึ่ง บุคคลที่โดดเด่นอันดับต้นๆ มีชื่อว่า ลีโอไนดัส แห่งโร้ดส์ (Leonidas of Rhodes) นักวิ่งโอลิมปิกสมัยกรีกโบราณซึ่งลงแข่ง 4 ครั้งติดต่อกัน โดยแต่ละครั้งที่ลงแข่งก็ชนะแข่งวิ่งในรูปแบบที่ท้าทาย 3 รายการ
นีล ดันแคนสัน (Neil Duncanson) นักเขียนผู้ศึกษาประวัติความเป็นมาของนักวิ่งสายประชันความเร็ว และผู้เขียนหนังสือ 100 Metre Men อธิบายข้อมูลเกี่ยวกับการแข่งกีฬาในสมัยโบราณอันเป็นข้อมูลภูมิหลังบริบทของการวิ่งไว้ว่า การแข่งขันเกม “กีฬา” ในสมัยโบราณมีหลักฐานว่าปรากฏในสมัย 5,000 ปีก่อนคริสตกาลในยุคอียิปต์โบราณ อย่างไรก็ตาม นักประวัติศาสตร์มองว่า การแข่งขันกีฬาที่ว่าเป็นการแข่งม้าและเกมต่อสู้เสียมากกว่า
ความนิยมในเกมกีฬาถูกสานต่อในยุคต่อมาโดยชาวโรมัน แต่โดยรวมแล้ว ชาวโรมันมุ่งให้ความสำคัญกับการแข่งในแง่เชิงประลองในลานต่อสู้ (gladiator) ที่จะทำเงินได้เสียมากกว่า
แต่หากมองการแข่งกีฬาตามความหมายของการประชันเพื่อค้นหาความเป็นเลิศทางร่างกาย(และจิตใจ)ตามนิยามของ “กีฬา” แบบใกล้เคียงกับยุคสมัยใหม่ คงต้องเป็นชาวกรีกซึ่งวางกรอบมาตรฐานแนวคิดแบบการแข่ง “กีฬา” เอาไว้ให้คนรุ่นหลังได้ต่อยอดกัน
โอลิมปิกเกมส์แบบดั้งเดิมนั้นสามารถย้อนกลับไปได้ถึงช่วง 776 ปีก่อนคริสตกาล การแข่งสมัยนั้นจัดกัน 5 วัน ในบรรดาการแข่งที่เกิดขึ้น มีการแข่งวิ่งอยู่หลายประเภทด้วยกัน สำหรับการวิ่งแบบประชันความเร็ว หรือที่เรียกว่า สปรินท์ (sprint) ในปัจจุบันก็มีเช่นกัน
ฮีโร่ในโอลิมปิกยุคกรีกโบราณผู้โดดเด่นเรื่องประชันวิ่งเร็วซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีมีนามว่า ลีโอไนดัส แห่งเกาะโร้ดส์ (Leonidas of Rhodes) เขาเริ่มสร้างชื่อเมื่อโอลิมปิกช่วง 164 ปีก่อนคริสตกาล (แน่นอนว่าเขาเป็นคนละคนกับลีโอไนดัส กษัตริย์สปาร์ตา)
ครั้งแรกที่เขาลงแข่งในช่วง 164 ปีก่อนคริสตกาล ลีโอไนดัส ชนะการวิ่งทั้ง 3 ประเภทคือ stadion วิ่งแข่งระยะ 200 เมตร, diaulos วิ่งระยะ 400 เมตร และ hoplitodromos หรือแข่งวิ่งขณะสวมเกราะ ซึ่งแตกต่างจากการแข่งวิ่งอื่นที่มักไม่สวมเสื้อผ้าอยู่แล้ว การแข่งแบบหลังสุดนี้ ผู้แข่งต้องสวมเกราะนักรบขณะวิ่งด้วย คาดว่ามีทั้งหมวก เกราะส่วนบนที่คลุมหน้าอก เกราะแข้ง และโล่ที่ทำจากบรอนซ์และไม้
(บางแหล่งข้อมูลบอกว่า การวิ่งที่เขาลงแข่งและชนะทั้ง 3 ประเภท เรียกว่า Stade วิ่งจากฝั่งหนึ่งของสนามโอลิมเปียไปอีกฝั่งและวิ่งกลับมา ระยะทางประมาณ 200 หลา, Diaulos กึ่งวิ่งทนในระยะไกลขึ้นมาอีก และ Dolichos วิ่งวนสเตเดียม 24 รอบโดยที่สวมเกราะแบบนักรบด้วย)
จูดิธ สแวดดลิง (Judith Swaddling) ผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์ระดับซีเนียร์ของพิพิธภัณฑ์บริติชยังอธิบายว่า ผู้ได้ชัยจากการแข่งวิ่งประเภทเหล่านั้นติดต่อกันเป็นผลงานที่น่าประทับใจทีเดียว
แม้แต่นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์อย่างพอล คาร์จเลดจ์ (Paul Cartledge) ยังเอ่ยว่า ถ้าพิจารณาความสำเร็จของลีโอไนดัส เขาคือผู้ที่ทำลายกำแพงกั้นระหว่างนักวิ่งเร็วระยะสั้น (sprinter) กับนักกีฬาที่เน้นเรื่องความอึดทน (endurance) จากที่การแข่งวิ่งประเภทสวมเกราะถูกมองว่าไม่เหมาะกับนักวิ่งเร็วระยะสั้น พอล ให้สัมภาษณ์กับบีบีซีว่า
“พวกเขาวิ่งทั้งที่ยังสวมเกราะด้วย อุณหภูมิน่าจะอยู่ที่ประมาณ 40 องศาเซลเซียส สภาพแวดล้อมแทบจะไม่เป็นใจอย่างยิ่ง ซึ่งมันทำให้ต้องอาศัยกล้ามเนื้อและทักษะการเคลื่อนไหวของร่างกายที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง”
ลีโอไนดัส ลงแข่งโอลิมปิกอีก 3 ครั้งต่อมา คือ 160 ปีก่อนคริสตกาล, 156 ปีก่อนคริสตกาล และ 152 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งจากการลงแข่ง 4 ครั้งติดต่อกัน เขาชนะวิ่งแข่งทั้ง 3 ประเภทในการแข่งทั้ง 4 ครั้งด้วย
นีล ดันแคนสัน ชี้ว่า ลีโอไนดัส แห่งโร้ดส์ คือชายคนเดียวในรอบหลายพันปีที่สามารถชนะการแข่ง 12 รายการในการลงแข่งทั้งหมด 4 ครั้ง
ทั้งนี้ แม้การแข่งโอลิมปิกสมัยโบราณจะเป็นมหกรรมที่สำคัญของมนุษย์ยุคนั้นเช่นกัน แต่ในอีกด้านก็ถือเป็นมหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเมืองเช่นกัน หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่หลงเหลือมาล้วนบ่งชี้ว่า ไม่มีมอบรางวัลเป็นเงิน แต่มีเพียงเป็นช่อหรือพวงลอเรล (laurel) มอบให้เป็นเกียรติเท่านั้น ขณะที่บ้านเกิดเมืองนอนของผู้ชนะก็ต่างชื่นชมยกย่องและมอบของขวัญให้กับผู้ชนะการแข่งโอลิมปิก เรียกได้ว่า ผู้ชนะโอลิมปิกก็มีชื่อเสียงโด่งดังในเมืองของตัวเอง
ทั้งนี้ โดยส่วนใหญ่แล้ว ผู้ชนะแข่งกีฬาระดับนี้ในสมัยโบราณมักไม่ต้องกลับมาทำงานเลี้ยงชีพอีก ตัวอย่างหนึ่งก็คือกรณีของลีโอไนดัส แห่งโร้ดส์
จากข้อมูลของนีล ดันแคนสัน เขาเล่าไว้ในงานเขียนของเขาว่า ชีวิตภายหลังประสบความสำเร็จแล้ว ลีโอไนดัสแห่งโร้ดส์ คอยช่วยเหลือให้คำแนะนำคนอื่นที่จะเป็นผู้ลงแข่งกีฬา และใช้ชีวิตอย่างสงบในบ้านพักซึ่งรัฐออกทุนให้ และมีรายได้ประจำเดือนให้ใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกสบาย ภายหลังเขาเสียชีวิตก็ได้รับยกย่องเชิดชูแทบประหนึ่งสถานะกึ่งเทพเจ้า
ชื่อของเขาปรากฏอยู่ในงานวรรณกรรมกรีกโบราณ นักประวัติศาสตร์ยุคโบราณหลายรายบรรยายถึงชื่อเสียงของเขาไว้ ขณะที่ยูเซบิโอส แพมฟิโลส (Eusebios Pamphilos) นักประวัติศาสตร์ยุคโบราณนิยามลีโอไนดัส แห่งโร้ดส์ว่า ชายผู้รวดเร็วที่สุดเท่าที่โลกเคยรู้จักมา
อย่างไรก็ตาม น่าเสียดายที่ข้อมูลเกี่ยวกับชีวประวัติของลีโอไนดัส แห่งโร้ดส์ มีอยู่ไม่มากนัก ไม่มีภาพของเขาหลงเหลือมาถึงปัจจุบัน (มีรูปปั้นของเขาตั้งอยู่ในโร้ดส์) มีเพียงแค่ข้อมูลและชื่อเสียงจากหมู่ชาวกรีก หากพิจารณาจากชื่อของเขาว่า “ลีโอไนดัส” (Leonidas) ซึ่งแปลงมาจากศัพท์กรีกที่หมายถึงสิงโต (lion) อาจเป็นข้อบ่งชี้ประการหนึ่งว่า เขามีภูมิหลังที่ต่างจากคนทั่วไป พอล คาร์จเลดจ์ ตั้งข้อสังเกตว่า เขาอาจมีสถานะทางสังคมแบบชนชั้นนำ อาจเป็นคนมีฐานะ หรือมาจากตระกูลที่เป็นนักกีฬา
ทั้งนี้ โร้ดส์เป็นพื้นที่ซึ่งมีธรรมเนียมเกี่ยวกับการแข่งกีฬาที่ชัดเจน นักกีฬาโอลิปิกอีกรายจากโร้ดส์ ที่มีชื่อเสียงอีกรายคือนักมวยนามว่า ไดอากอรัส (Diagoras)
อ่านเพิ่มเติม :
อ้างอิง :
Duncanson, Neil. 100 Metre Men. London : Carlton Publishing Group, 2016.
“Who, What, Why: Who was Leonidas of Rhodes?”. Who, What Why Magazine. Via BBC. Online. Published 12 AUG 2016. Access 22 DEC 2021. <https://www.bbc.com/news/magazine-37033910>
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 22 ธันวาคม 2564