ผู้เขียน | ฮิมวัง |
---|---|
เผยแพร่ |
หากจะกล่าวถึงการสมรสเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างล้านนากับสยาม คงจะหนีไม่พ้นกรณีของ “พระราชชายา เจ้าดารารัศมี” พระราชธิดาในพระเจ้าอินทวิชยานนท์ เจ้าเมืองเชียงใหม่ ที่ได้ถวายตัวเป็นพระภรรยาเจ้าในรัชกาลที่ 5
แต่นอกจากการถวายตัวของเจ้าดารารัศมีแล้ว ยังมีการสมรสระหว่างเจ้านายสตรีล้านนากับเจ้านายและข้าราชการสยามอีกหลายคู่
ในสมัยกรุงธนบุรี “เจ้าศรีอโนชา” ขนิษฐาในพระเจ้ากาวิละ ได้ถวายตัวเป็นบาทบริจาริกาในสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท (ต่อมาทรงเป็นวังหน้าในสมัยรัชกาลที่ 1) ดังปรากฏในตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ ความว่า
“…พระกษัตริย์เจ้าตากสินปราบชนะมารปักขะข้าศึกได้เชียงใหม่ ในศักราช 1136 ตัว ปีกาบสง้า เดือน 5 เพ็ง วัน 1 หั้นแลฯ…ก็ตั้งพระยาจ่าบ้านหื้อเป็นพระยาเชียงใหม่…ตั้งเจ้ากาวิละขึ้นเป็นพระยาละคร พระมหากษัตริย์เจ้าตากสินและเจ้าพระยาจักรี ก็พาเอาเสนาโยธาล่องไปทางเมืองเถิน ล่องไปตามกระแสแม่น้ำระมิงค์แลฯ พันดั่งเจ้าพระยาสุรสีห์ ก็มีใจรักใคร่ได้ยังนางศรีอโนชา ราชบุตรีอันเป็นน้องเจ้ากาวิละ จึงใช้ขุนนางผู้ฉลาดมาขอเจ้าทั้ง 7 พระองค์พี่น้อง มีเจ้าชายแก้ว พระบิดาเป็นประธาน รำพึงเห็นกัลญาณมิตรอันจักสนิทติดต่อไปภายหน้า ก็เอายังนางศรีอโนชาถวายเป็นราชเทวี แห่งเจ้าพระยาเสือ คือ พระยาสุรสีห์หั้นแลฯ เจ้าพระยาสุรสีห์เมื่อได้นางศรีอโนชาราชเทวีแล้ว ก็เสด็จเมือทางเมืองสวรรคโลก หั้นแลฯ…”
เจ้าศรีอโนชาและสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ทรงมีพระราชธิดาพระนามว่า “เจ้าฟ้าพิกุลทอง” เมื่อสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทเสด็จทิวงคตใน พ.ศ. 2346 เจ้าศรีอโนชาคงจะประทับอยู่กับพระราชธิดา จนกระทั่งเจ้าฟ้าพิกุลทองสิ้นพระชนม์ใน พ.ศ. 2353 ขณะพระชนมายุได้ 33 พรรษา หลังจากนั้นก็ไม่พบหลักฐานใด ๆ ที่กล่าวถึงเจ้าศรีอโนชาอีก
ถึงสมัยพระเจ้าพระเจ้าอินทวิชยานนท์ ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 5 ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเมืองอย่างมากมาย ทั้งในกรุงเทพฯ และเชียงใหม่ เป็นผลให้เจ้านายสตรีล้านนามีบทบาททางการเมืองมากขึ้น ทั้งนี้เพื่อประสานประโยชน์ให้กับเครือญาติด้วยการสมรสกับเจ้านายสยาม นั่นคือ การเข้าถวายตัวของ “เจ้าทิพเกสร” ธิดาเจ้าสุริยะกับเจ้าสุวรรณา ซึ่งมีฐานะอยู่ในชั้นหลานของพระเจ้ากาวิละในสายสกุล ณ เชียงใหม่
เจ้าทิพเกสรถวายตัวเมื่อ พ.ศ. 2426 ก่อนการเข้าถวายตัวของเจ้าดารารัศมี ซึ่งเป็นพระญาติ ประมาณ 2 ปี หลังจากเจ้าจอมทิพเกสรถวายตัวแล้วใน พ.ศ. 2427 ก็ได้ประสูติพระราชโอรส พระนามว่า “พระองค์เจ้าดิลกจันทรนิภาธร” ต่อมารัชกาลที่ 5 พระราชทานพระนามใหม่ว่า “พระองค์เจ้าดิลกนพรัฐ” หมายถึง “ศรีเมืองเชียงใหม่”
การปฏิรูปการปกครองของสมัยรัชกาลที่ 5 ทำให้เจ้านายและข้าราชการระดับสูงของสยามได้เข้ามามีบทบาทในล้านนามาขึ้น ฉะนั้นจึงเป็นโอกาสที่ได้พบปะเจ้านายสตรีล้านนา และนำไปสู่การสมรสในที่สุด เช่น
“เจ้าสุมิตรา” ธิดาเจ้าราชวงศ์ (ขัตติยะ) ณ เชียงใหม่ ได้สมรสกับพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร ข้าหลวงพิเศษที่มาปฏิบัติราชการที่เชียงใหม่
“เจ้าข่ายแก้ว ณ เชียงใหม่” ธิดาเจ้าทักษิณนิเกตต์ (มหายศ ณ เชียงใหม่) ได้สมรสกับพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนพิทยลาภพฤฒิธาดา (พระองค์เจ้าโสณบัณฑิต) ข้าหลวงพิเศษเชียงใหม่ (พ.ศ. 2432-2434)
“เจ้ากาบคำ ณ เชียงใหม่” ธิดาเจ้าหนานสมมนุษย์ ได้สมรสกับพระยาทรงสุรเดช ซึ่งขึ้นมาดำรงตำแหน่งข้าหลวงพิเศษมณฑลลาวเฉียง (พ.ศ. 2436-2442) ต่อมาเจ้ากาบคำได้สมรสใหม่กับมหาอำมาตย์ตรี พระยาวิเศษฤาชัย ข้าหลวงตรวจราชการกระทรวงมหาดไทยมณฑลพายัพ
“เจ้าบัวทิพย์ ณ เชียงใหม่” ธิดาเจ้าแก้วนวรัฐ เจ้านครเชียงใหม่องค์สุดท้าย สมรสกับมหาอำมาตย์ตรี พระยานริศราชกิจ ข้าหลวงใหญ่เทศาภิบาลมณฑลพายัพ
“เจ้าอุบลวรรณา” ธิดาพระเจ้ากาวิโลรสสุริยวงศ์ ก็ได้มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับพระยาปาจิน ขุนนางกรุงเทพฯ
“เจ้าฟองแก้ว ณ เชียงใหม่” ธิดาเจ้าน้อยบัวระวงษ์ ข้าหลวงในความปกครองของเจ้าดารารัศมี ได้สมรสกับเจ้าพระยาธรรมาธิกรณาธิบดี (ม.ร.ว. ปุ่ม มาลากุล) แต่อยู่ในสถานะภรรยารอง
กรณีของเจ้าฟองแก้วนั้นตกอยู่ในภาวะที่ไม่ได้รับความเห็นชอบจากญาติฝ่ายสามี รวมทั้งต้องถูกบังคับให้ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตอย่างชาวเชียงใหม่มาเป็นแบบชาวกรุงชั้นสูง เช่น ให้ตัดผมแบบชาวกรุงเทพฯ เพื่อที่ญาติฝ่ายสามีจะขายหน้าใครว่ามีสะใภ้เป็นลาวจากเชียงใหม่ ซึ่งการเปลี่ยนวัฒนธรรมเช่นนี้ก็ไม่ได้ทำให้ได้รับการยอมรับอย่างแท้จริง สุดท้ายก็จําต้องแยกทางกัน
“เจ้าทิพวัน ณ เชียงใหม่” ได้สมรสกับพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช ซึ่งดำรงตำแหน่งอุปราชมณฑลพายัพในช่วง พ.ศ. 2458-2462 แม้ว่าเจ้าทิพวันจะได้มีบทบาทในการติดตามพระองค์เจ้าบวรเดชไปตรวจราชการยังที่ต่าง ๆ จนเป็นที่เคารพนับถือของชาวเชียงใหม่ แต่เจ้าทิพวันก็ไม่ประสบผลสำเร็จในชีวิตสมรส ได้หย่าร้างกับพระองค์เจ้าบวรเดชในเวลาต่อมา
“เจ้าลดาคำ” ธิดาเจ้าอินทวโรรสสุริยวงษ์ ได้สมรสกับสมเด็จฯ กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน แต่ก็ต้องอยู่ในสถานะหม่อม ท้ายที่สุดก็ต้องหย่าร้างกับพระสวามี
การสมรสกับข้าราชการหรือเจ้านายจจากสยาม แม้ว่าดูเผิน ๆ แล้วน่าทำให้เกิดการเลื่อนสถานภาพของเจ้านายสตรีล้านนาโดยผ่านการสมรส แต่ในท่ามกลางบริบทของการปฏิรูปการปกครองซึ่งเจ้านายฝ่ายเหนือตกอยู่ใต้อำนาจของรัฐบาลสยามนั้น เจ้านายฝ่ายเหนือได้รับการดูถูกเหยียดหยามอย่างมากว่าเป็น “ลาว” ที่ป่าเถื่อนด้อยอารยธรรม ครอบครัวของเจ้านายและข้าราชการในกรุงเทพฯ จึงยากที่จะยอมรับ “สะใภ้ลาว”
การสมรสที่เกิดขึ้นระหว่างเจ้านายสตรีล้านนากับเจ้านายและขุนนางสยามเหล่านี้ ได้สะท้อนให้เห็นว่ากลุ่มชนชั้นปกครองทั้งรัฐบาลสยามและเชียงใหม่ ได้ใช้เจ้านายสตรีเข้ามาเป็นเครื่องมือทางการเมือง ซึ่งการสร้างความสัมพันธ์ในลักษณะนี้ นอกจากจะทำให้เจ้านายฝ่ายเหนือได้รับความเกรงใจจากการมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้มีอำนาจในส่วนกลางแล้ว ยังเป็นการสร้างพันธมิตรทางการเมืองอีกด้วย
อีกทั้งเจ้านายสตรีล้านนายังมีส่วนสำคัญในการรักษาผลประโยชน์บางประการให้กับกลุ่มการเมืองในบ้านเกิด เช่น กรณีพระเจ้าอินทวิชยานนท์ ได้พยายามต่อรองเรื่องไม่ให้โอนกรรมสิทธิ์ป่าไม้ของพระองค์เป็นของรัฐ ด้วยการเจรจาผ่านเจ้าดารารัศมี แต่ไม่ปรากฏหลักฐานว่าการต่อรองครั้งนี้มีผลมากน้อยเพียงใด รวมถึงกรณีของเจ้าข่ายแก้ว ที่สมรสกับพระองค์เจ้าโสภบัณฑิต ทำให้เจ้าทักษิณนิเกตต์ ผู้เป็นพระบิดา ได้รับแต่งตั้งจากรัฐบาลสยามให้มีฐานะข้าราชการของกรุงเทพฯ ตำแหน่งเสนาวัง เป็นต้น
อ้างอิง :
จิรชาติ สันต๊ะยศ. (2551). พระราชชายาเจ้าดารารัศมี. กรุงเทพฯ : มติชน.
เผยแพร่เนื้อหาในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 16 ธันวาคม 2564