เผยแพร่ |
---|
หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง กิจการในลำดับแรกๆ ที่คณะราษฎรให้ความสำคัญได้แก่ การศึกษา และสาธารณสุข ในส่วนของการสาธารณสุข แนวคิดตลอดจนนโยบายในเรื่องนี้ของคณะราษฎร คือการขยายสถานพยาบาลออกไปในส่วนภูมิภาค ซึ่งเริ่มมีการดำเนินการอย่างชัดเจนใน พ.ศ. 2477
พ.ศ. 2477 ปรีดี พนมยงค์ รับตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายสาธารณสุข พร้อมกับการผลักดันการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นผ่านการจัดตั้งเทศบาลโดยประกาศใช้ พระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2477 พร้อมกับโครงการสร้างโรงพยาบาลทั่วประเทศ ในปีเดียวกันนั้นมีการอบรมที่ปรึกษาการเทศบาลเรื่อง “การสาธารณสุขและสาธารณูปการ” ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง
ที่ประชุมมีการนำเสนอแนวคิดการจัดบริการสาธารณสุขอย่างเป็นระบบครั้งแรก ด้วยเห็นว่ารัฐจะต้องให้ความสนใจการแพทย์และการสาธารณสุข ควรจัดให้มีโรงพยาบาลและสถานพยาบาลขนาดต่างๆ โดยมีแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์อื่น ให้บริการในการรักษาหรือป้องกันโรค ฯลฯ โดยไม่คิดค่าบริการ ทั้งมีเสนอให้ตั้งองค์การทางการแพทย์ขึ้น และต่อมามีการตั้งเป็น “คณะกรรมการพิจารณาสาธารณสุขและการแพทย์” เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2478
คณะกรรมการพิจารณาสาธารณสุขและการแพทย์ มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานมีการประชุมกันเกือบ 20 ครั้ง กำหนดโครงการเสนอรัฐบาล 2 เรื่อง ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2478 หนึ่งในจำนวนนั้นคือ “โครงการอนามัยหัวเมือง” ซึ่งถือเป็นแผนแม่บทแรกของการขยายบริการทางการแพทย์และสาธารณสุขออกสู่ภูมิภาค ซึ่งกำหนดให้ทุกจังหวัดมีคณะกรรมอนามัยเพื่อช่วยเหลือกรมการจังหวัดในงานสาธารณสุข โดยมีโรงพยายาลจังหวัดเป็นกลไกที่จะขยายบริการสาธารณสุข
โครงการอนามัยหัวเมืองกำหนดสถานพยาบาล 6 ประเภท คือ โรงพยาบาลชั้นหนึ่งขนาด 200 เตียง เป็นโรงพยาบาลประจำภาค ระยะแรกกำหนดให้มีใน 4 จังหวัด (ลำปาง, นครสวรรค์, โคราช และสงขลา), โรงพยาบาลชั้นสองเป็นโรงพยาบาลประจำจังหวัด, โรงพยาบาลชั้นสามเป็นโรงพยาบาลชุมชน, สุขศาลาชั้นหนึ่ง, สุขศาลาชั้นสอง และหน่วยอนามัยเคลื่อนที่ เป็นสถานที่สำหรับการรักษาพยาบาลแบบการแพทย์สมัยใหม่
แต่ในทางปฏิบัติ ตั้งแต่ พ.ศ. 2477 รัฐบาลก็มีนโยบายขยายการบริการสาธารณสุขออกสู่ต่างจังหวัดอย่างชัดเจน พร้อมกับการประกาศใช้พระราชบัญญัติเทศบาลฯ นายปรีดี พนมยงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยสั่งให้ทำโครงการสร้างโรงพยาบาลทั่วประเทศ โดยเริ่มสร้างในจังหวัดชายแดนก่อน ได้แก่ จังหวัดอุบลราชธานี, หนองคาย และนครพนม
พ.ศ. 2485 มีโรงพยาบาลในต่างจังหวัด 22 แห่ง ในจำนวนนี้ยังเป็นโรงพยาบาลทั่วไป 8 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลโรคจิต 3 แห่ง โรงพยาบาลวัณโรค 1 แห่ง โรงพยาบาลโรคเรื้อน 4 แห่ง
กระทั่งหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ใน พ.ศ. 2489 แล้วยังมีอีก 37 จังหวัดที่ยังไม่มีโรงพยาบาลเลย ปรีดี พนมยงค์ นายกรัฐมนตรีเวลานั้น จึงกำหนดให้มีโครงการจัดตั้งโรงพยาบาลและสุขศาลาของกระทรวงสาธารณสุขขึ้น แต่สภาพความขาดแคลนทรัพยากรหลังสงคราม ทำให้รัฐบาลไม่มีเงินจัดตั้งสถานพยาบาล ในขณะเดียวกันก็มีโรคภัยไข้เจ็บเกิดขึ้นแก่ผู้คนจำนวนมาก รัฐบาลจึงต้องหันมารณรงค์รับบริจาคเพื่อการจัดสร้างแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าใด มีเพียงโรงพยาบาลประจำจังหวัดสุโขทัยและชลบุรีเท่านั้นที่เกิดจากการรับบริจาค
รัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม สมัยที่ 2 ขับเคลื่อน นโยบายต่อจากรัฐบาลนายปรีดี จนทำให้หลัง พ.ศ. 2490 กลายเป็นยุคทองของการสร้างโรงพยาบาลประจำจังหวัด พร้อมๆ กับการจัดสร้างสถานพยาบาลระดับอำเภอ โดยความช่วยเหลือทางงบประมาณจากยูซอม (USOM-United States Operation Mission) ในการจัดหาเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์
พ.ศ. 2499 มีโรงพยาบาลประจำจังหวัดครบทั้งประเทศ 72 แห่ง (เวลานั้นประเทศไทยมีเพียง 72 จังหวัด)
ระหว่าง พ.ศ. 2490-2500 ยังมีการจัดสรรงบประมาณพิเศษจาก เช่น ภาษีบุหรี่และเหล้า ในรูปของแสตมป์การกุศล (แสตมป์ ก.ศ.ส.) อีกปีละประมาณ 10 ล้านบาท งบประมาณพิเศษนี้ส่วนใหญ่ใช้ไปในการสร้างโรงพยาบาลในต่างจังหวัด ทำให้ พ.ศ. 2493 มีโรงพยาบาลในต่างจังหวัดเพิ่มขึ้นจำนวน 11 แห่ง, พ.ศ. 2496 เพิ่ม 17 แห่ง, พ.ศ. 2497 เพิ่ม 16 แห่ง, พ.ศ. 2498 เพิ่ม 2 แห่ง และ 2499 เพิ่ม 2 แห่ง
นอกจากสถานพยาบาลระดับโรงพยาบาล รัฐบาลคณะราษฎรยังพยายามขยายสุขศาลาชั้นสองในระดับตำบล จากเดิมที่มักมีอยู่เฉพาะในตัวอำเภอ ทำให้ประชาชนในชนบทเข้าถึงบริการทางการแพทย์มากขึ้น ทำให้จำนวนสุขศาลาเพิ่มขึ้นมากในรอบ 10 ปี ใน พ.ศ. 2484 มีสุขศาลารวมกันทั้งชั้นหนึ่งและสองจำนวน 434 แห่ง
โดยสรุปคือ ใน พ.ศ. 2500 โครงสร้างพื้นฐานทางการแพทย์สมัยใหม่ ซึ่งเป็นการรักษาพยาบาลและการจัดบริการสาธารณสุขอื่นๆ ที่ใช้โรงพยาบาล หรือสถานพยาบาลเป็นฐานนั้น ได้รับการก่อสร้างขึ้นครอบคลุมพื้นที่ทั้งประเทศเป็นครั้งแรก และเมื่อถึงทศวรรษ 2520 กว่า กระทรวงสารณสุขจึงขยายเครือข่ายโรงพยาบาลลงไปสู่ระดับอำเภอได้สำเร็จ
ข้อมูลจาก :
อภิชาต สถิตนิรามัย, อิสร์กุล อุณหเกตุ. ทัน วัง คลัง (ศักดิ) นา: สมรภูมิเศรษฐกิจการเมืองไทยกับประชาธิปไตยที่ไม่ลงหลักปักฐาน, สำนักพิมพ์มติชน, พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม 2564
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 16 พฤศจิกายน 2564