บันทึกของอ็องรี มูโอต์ เกี่ยวกับพระสงฆ์ในสังคมของประเทศไทย

ท่าน้ำของวัดแห่งหนึ่งในอยุธยา ภาพวาดลายเส้นจากรูปถ่ายโดยเธรงค์

อ็องรี มูโอต์ (ค.ศ. 1826-1861) นักโบราณคดี นักสำรวจ นักธรรมชาติชาวฝรั่งเศส ที่ออกเดินทางสำรวจราชอาณาจักรสยาม, กัมพูชา และลาว ถึง 4 ครั้ง ระหว่างตุลาคม ค.ศ. 1858-ตุลาคม ค.ศ.1861 ข้อมูลในการเดินทางครั้งนั้นมูโอต์ยังรวบรวมเขียนเป็นหนังสือชื่อ “บันทึกการเดินทางของอ็องรี มูโอต์ ในสยาม กัมพูชา ลาว และอินโดจีนตอนกลางส่วนอื่นๆ” (สนพ. มติชน, 2558) ตอนหนึ่งใน “บันทึกการเดินทางของอ็องรี มูโอต์ฯ” กล่าวถึง พระสงฆ์ ในสังคมไทยไว้ดังนี้ (จัดย่อหน้าใหม่และสั่งเน้นคำโดยกองบรรณาธิการ)


 

ชาวยุโรปเรียกพระสงฆ์ในพุทธศาสนาที่เมืองสยามว่า ตาลาปวง (talapoins) ซึ่งคงแผลงมาจากคำว่า ตาลปัตร (talapat) พัดใบตาลที่พระสงฆ์มักถือติดมือ ส่วนชาวสยามตลอดทั่วสองฟากฝั่งแม่น้ำเรียกสงฆ์ว่า พระ ซึ่งยังคงความหมายเดิมที่ใช้กันตลอดสองฟากฝั่งแม่น้ำไนล์ในอดีต คือหมายถึงผู้ยิ่งใหญ่ ศักดิ์สิทธิ์ และสว่างไสว

หากเอาแนวคิดทางเราไปอธิบายสถานะของพระที่เป็นคณะสงฆ์ในสังคม คงจะให้นิยามได้ยากนัก ด้วยว่านี่ไม่ใช่ชนชั้นทางสังคมเพราะใครๆ ก็บวชเป็นพระได้ แม้แต่พวกทาสที่ได้รับอนุญาตจากเจ้านายแล้ว จนอาจกล่าวได้ว่าพระสงฆ์เป็นชนกลุ่มเดียวที่ยังคงเจริญรอยตามแนวคิดดั้งเดิมของศาสดาผู้ก่อตั้ง

…………..

พวกเขาให้การยอมรับนับถือ [พระสงฆ์] อย่างสูงสุด อีกทั้งมอบสถานภาพอภิสิทธิ์หรูเลิศและชั้นยศสูงสุดให้ แม้เมื่ออยู่กลางถนน ชาวบ้านสามัญพากันหมอบกราบเมื่อเจอพระสงฆ์อยู่ต่อหน้าโดยยกมือขึ้นจรดหน้าผากแสดงความเคารพ แม้เหล่าขุนนางและบรรดาเชื้อพระวงศ์ก็ประนมสองมือไหว้ ส่วนพระมหากษัตริย์แม้จะทำความเคารพเพียงครั้งเดียว แต่ก็โปรดให้นั่งใกล้ๆ กับที่ประทับ ในแต่ละวันพระองค์ถวายทานแก่พระสงฆ์นับร้อยๆ รูปเป็นแบบอย่างให้พระราชินีและพระสนมชั้นเอกในพระราชวังกระทำตามด้วยศรัทธา

ทั้งนี้ แม้ว่าวินัยเข้มงวดพิสดาร 227 ประการของพระสงฆ์ จะมีข้อบัญญัติ อาทิ

“ห้ามมองสตรี”

“ห้ามคิดถึงสตรีทั้งในยามหลับและยามตื่น”

“ห้ามสนทนาวิสาสะกับสตรีสองต่อสอง”

“ห้ามรับของถวายมือต่อมือจากสตรี”

“ห้ามแตะต้องชายผ้าสตรี หรือแม้แต่เด็กหญิงตัวน้อยที่ยังนอนเปล”

“ห้ามนั่งเสื่อผืนเดียวกับสตรี”

“ห้ามขึ้นเรือที่อาจมีสตรีโดยสารด้วย” ฯลฯ

หากข้อเท็จจริงกลับกลายเป็นว่า สตรีเพศอันเป็นกึ่งหนึ่งของเผ่าพันธุ์มนุษย์นี่เองที่เป็นฐานค้ำจุนสนับสนุนสถาบันสงฆ์อย่างแน่นแฟ้นมั่นคงที่สุด

ทุกๆ เช้าในครอบครัวจนๆ ภรรยาหรือบุตรสาวคนที่นั่งคุกเข่านอบน้อมอยู่หน้าประตูบ้านเพื่อรอถวายทาน (ใส่บาตร) แก่พระผู้เดินบิณฑบาตมาจากวัดใกล้บ้าน อาหารที่ดีที่สุดเท่าที่สามารถจัดหามาได้จากรายการอาหารของคนยากจนถูกบรรจงหย่อนอย่างนิ่มนวลลงในบาตรที่เปิดฝาอยู่เสมอ ไม่เพียงเท่านี้ พวกนางยังนำดอกไม้ไปบูชาพระพุทธรูปที่วัดดังกล่าวเดือนละ 3-4 ครั้งและนำข้าวของไปถวายแทบเท้าพระสงฆ์เป็นประจำพลางนั่งร้องสาธุ! สาธุ สาธุ! (บราโว! บราโว!) ไปด้วยระหว่างพระสงฆ์ผู้มีหน้าที่เทศน์ประจำวันพร่ำบ่นอะไรต่างๆ ที่ฟังไม่รู้เรื่องหรือน่าเบื่อชวนง่วงเป็นที่สุดนานเป็นชั่วโมงๆ

ส่วนในครอบครัวรวยๆ นายหญิงเจ้าบ้านถือว่าการนิมนต์พระมาเทศน์ให้บรรดาญาติมิตรฟังเป็นกิจกรรมเชิดหน้าชูตา เหมือนๆ กับที่พวกนายหญิงทางบ้านเราจัดงานบอลรูมหรืองานคอนเสิร์ตเพื่ออวดรวย หรืออวดยศศักดิ์ ในวาระโอกาสนี้นายหญิงชาวสยามพิถีพิถันเลือกเฟ้นของที่จะถวายพระนักเทศน์และประจงจัดวางไว้ในห้องรับรอง มีตั้งแต่ รองเท้า ผอบราคาแพงใบหนึ่งใส่เหรียญทอง ใบหนึ่งใส่เหรียญเงิน สิริรวมมูลค่ามากกว่าเงินรายรับประจำปีของขุนนาง อีกทั้งจีวรสีเหลืองทำจากผ้าไหมและผ้าฝ้าย แล้วก็หมากพลูหรือยาเส้น ห่อชา ท็อฟฟี่ เทียน ข้าว ผลไม้ และของกินนานาชนิด เอาเป็นว่าของสารพัดสารพัน…

…………..

จึงไม่ต้องประหลาดใจเลยที่ชาวสยามใช้ชีวิตด้วยการเคารพนับถือผ้าเหลืองโดยเชื่อว่าถ้าได้ถวายจีวรให้พระห่มก็จะได้บุญใหญ่ ไม่เฉพาะแต่กับตัวเอง หากบุญนั้นยังส่งผลต่อวิญญาณของบรรพบุรุษด้วย อนึ่ง พวกคนมีฐานะทั้งหลายมักขอให้ลูกชายเข้าพิธีบวชอย่างน้อยก็สักช่วงเวลาหนึ่ง ต่อจากนั้นก็ไม่มีอะไรจะง่ายเท่านี้อีกแล้ว

ชุมชนสงฆ์เปิดกว้างสำหรับบุคคลใดก็ตามที่ปวารณาตัวขอบวชต่อคณะพระอุปัชฌาย์ของแต่ละวัด โดยนุ่งขาวห่มขาว ตามด้วยขบวนแห่ของพ่อแม่ญาติพี่น้อง มิตรสหายและนักดนตรี พร้อมเครื่องปัจจัยไทยทาน ผ้าขาว (นาค) พร้อมเครื่อง สบง จีวร ผ้าคาด ผ้าสังฆาฏิ ผ้าไตรสีเหลือง และบาตรตีด้วยเหล็ก เพียงขานนาคต่อพระอุปัชฌาย์ว่า ตนไม่เคยเป็นโรคเรื้อน ไม่เคยเป็นบ้า ไม่เคยต้องคุณไสย ไม่มีหนี้สิน และได้รับฉันทานุมัติจากพ่อแม่ โดยที่มีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์

เมื่อเอ่ยข้อความดังกล่าวให้ได้ยินกันถ้วนทั่ว คณะสงฆ์จึงให้ผู้ขอบวชรับฟังกฎระเบียบของคณะสงฆ์ และแล้วสมาชิกผู้ทรงเกียรติก็ได้รับการยกสถานะจากฆราวาสผู้ต่ำต้อยเป็นพระสงฆ์โดยสมบูรณ์ด้วยประการฉะนี้ และต้องครองผ้าเหลืองเป็นอย่างน้อย 3 เดือน พอครบกำหนดก็สามารถสึกจากความเป็นพระกลับไปนุ่งห่มอย่างคนธรรมดาและแต่งงานได้ เท่านี้ก็เป็นอันได้ทดแทนคุณผู้ให้กำเนิดเรียบร้อยแล้ว

หลังจำพรรษา 3 เดือนช่วงหน้าฝนผ่านพ้นไป พระสงฆ์น้อยรายเท่านั้นที่ต้องประจำอยู่ที่วัดเดิมแม้แต่ในหมู่พระสงฆ์ที่ครองเพศบรรพชิตตลอดชีวิต หลังจากนั้นเขาอาจจาริกไปทั่วราชอาณาจักรจากเหนือจรดใต้

 


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 22 กันยายน 2564