เผยแพร่ |
---|
อิตาลีเป็นชาติแรกที่ใช้ ตอร์ปิโดมนุษย์ (Human Torpedo) ที่มีชื่อเรียกว่า “มายาเล” ตอร์ปิโดมนุษย์ของอิตาลีมีความยาว 6.7 เมตร พร้อมกับหัวระเบิดที่ถอดได้ มีพลขับ 2 นาย สวมชุดยางใ่ส่ท่อออกซิเจนและหน้ากากนั่งคร่อมตอร์ปิโด
วันที่ 19 ธันวาคม 1947 อิตาลีทดลองใช้ “ตอร์ปิโดมนุษย์” เพื่อโจมตีเรือรบแวเลียนต์ของอังกฤษ แต่เกิดปัญหาบางประการ มนุษย์กบชาวอิตาลีที่เป็นพลขับ 2 คน ถูกจับได้ในบริเวณท่าเรืออเล็กซานเดรีย
เมื่อสอบสวนพวกเขาสารภาพว่าเกิดปัญหาบริเวณนอกท่าเรือ จึงต้องทิ้งอุปกรณ์ และว่ายน้ำมา หากอีก 2-3 นาทีต่อมามีเสียงระเบิดใต้ท้องเรือบรรทุกซาโกเนีย
มนุษย์กบทั้งสองบอกให้กัปตันเรือแวเลียนต์เรียกทุกคนไปที่ดาดฟ้าเรือ เพราะอีกไม่นานจะเกิดการระเบิดใต้ท้องเรือแวเลียนต์ และก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ อีก 2-3 นาทีต่อมาเกิดการระเบิดรุนแรงสร้างความเสียหาย อย่างหนักให้กับเรือแวเลียนต์
หลังจากนั้นไม่นานก็เกิดระเบิดขึ้นอีกครั้ง ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงให้กับเรือรบควีนเอลิซาเบธ ชาวอิตาลี 6 คนพร้อมตอร์ปิโดมนุษย์ มายังท่าเรืออเล็กซานเดรียโดยเรือดำน้ำ พวกเขาทำให้เรือรบ 2 ลำ ในกองเรือเมดิเตอร์เรเนียนเสียหายใช้การไม่ได้หลายเดือน แม้จะไม่มีผู้ใดเสียชีวิตหรือบาดเจ็บ
อิตาลียังใช้ตอร์ปิโดมนุษย์โจมตีเรือขนสินค้าของฝ่ายสัมพันธมิตรในยิบรอลตาร์ มอลต้า และอ่าวแอลเจียร์ ในช่วงปลายสงคราม
ต่อมาอังกฤษ เยอรมนี และญี่ปุ่น ก็ลอกเลียนแบบ “ตอร์ปิโดมนุษย์” ของอิตาลี อย่างรวดเร็ว
คืนวันที่ 30-เช้าวันที่ 31 ตุลาคม 1942 ตอร์ปิโดมนุษย์ที่อังกฤษพัฒนาขึ้นชื่อ “ชาริออต” ความยาว 7.6 เมตร โจมตีเรือรบเตียร์ปิตซ์ ของเยอรมนีที่ทรอนด์ไฮม์ นอร์เวย์ ตอร์ปิโดชาริออต 2 ลูก ถูกนำไปยังฟยอร์ดทรอนด์ไฮม์ โดยผูกกับสลิงไว้ใต้ท้องเรือหาปลา แต่ขณะจะเข้าใกล้เรือเดียร์ปิตซ์ ที่อยู่ห่างออกไปประมาณ 15 กิโลเมตร แต่เกิดข้อขัดข้องกับชาริออตและจมลงเสียก่อน ส่วนพลขับของชาริออตสามารถหลบหนีไปสวีเดนได้ตามแผน
ความสำเร็จของตอร์ปิโดมนุษย์ของอังกฤษเกิดที่ภูเก็ต
วันที่ 28 ตุลาคม 1944 ชาริออต 2 ลำประสบความสำเร็จในการโจมตีเรือ 2 ลำ ที่จังหวัดภูเก็ต ประเทศไทย มนุษย์กบพลขับชาริออตถูกนำไปยังบริเวณเป้าหมายโดยเรือดำน้ำเทรนชานต์ จากนั้นพลขับขับตอร์ปิโดของพวกเขา และยึดส่วนหัวของระเบิดให้ติดแน่นเข้ากับท้องเรือเป้าหมายซึ่งเป็นเรือสินค้า 2 ลำ คือเรือสุมาตราและเรือวอลปิของอิตาลี และครั้งนี้ประสบความสำเร็จ ขณะพลขับกลับมายังเรือเทรนชานต์ เสียงระเบิดดังขึ้น 2 ครั้ง เรือสินค้าทั้ง 2 ลำ ใช้การไม่ได้ตลอดช่วงที่เหลือของสงคราม
เยอรมนีสร้างตอร์ปิโดมนุษย์ชื่อ “นีเกอร์” หรือ “โมห์ร” (ตามชื่อผู้ประดิษฐ์ ริชาร์ด โมห์ร) ตอร์ปิโดมนุษย์ของเยอรมนีใช้พลขับ 1 คน ประกอบด้วยตอร์ปิโด 2 ลูกที่ผูกติดเข้าด้วยกัน โดยลูกที่อยู่ด้านบนจะมีห้องพลขับติดตั้งกระจกทนความร้อนแทนที่จะเป็นหัวรบ แต่ไม่สามารถดำน้ำได้ ทำงานโดยมอเตอร์ในห้องพลขับที่อยู่เหนือผิวน้ำ การปล่อยหัวระเบิดจะต้องทำขณะเข้าใกล้เป้าหมายและมองเห็นได้ง่ายในช่วงกลางวัน
กองทัพเยอรมนีใช้นีเกอร์โจมตีเรือขนสินค้าของฝ่ายสัมพันธมิตรที่อันซิโอ อิตาลี ในเดือนมกราคม 1944 และอีกครั้งที่นอร์มังดี ฝรั่งเศส และในเดือนมิถุนายน มันทำลายเรือกวาดทุ่นระเบิดและเรือลาดตระเวนเบานอกชายหาดนอร์มังดี แต่หากประมินประสิทธิภาพ นีเกอร์จำนวนมากก็เสียหายไปเช่นกัน ตอร์ปิโดมนุษย์ที่คิดค้นมาแทนอย่าง “มาร์เดอร์” ก็ประสบความสำเร็จไม่เท่าที่ควร
ตอร์ปิโด “คัลเท็น” ของญี่ปุ่น ถูกปรับเปลี่ยนให้มีลักษณะเป็นหอกยาว 9 เมตร หัวรบขนาดครึ่งตันและมีความเร็ว 5 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีห้องสำหรับพลขับและหอบังคับการ โดยปกติแล้วมันจะถูกขับเคลื่อนตรงเข้าหาเป้าหมายในฐานะอาวุธพลีชีพ (ลักษณะกับฝูงบินพลีชีพ-คามิกาเซะ)
ตอร์ปิโดมนุษญ์ของญี่ปุ่นใช้ครั้งแรกที่เกาะยูลิตี ในมหาสมุทรแปซิฟิก สถานที่ที่กองเรือรบสหรัฐทอดสมอ เดือนพฤศจิกายน 1944 ตอร์ปิโดคัลเท็นจมเรือบรรทุกได้ 2 ลำ โดยมนุษย์กบพลขับสังเวยชีวิตไป 8 คน ที่อิโวะจิมะ โอกินาวา และหัวหาดอื่น ๆ ในแปซิฟิก คัลเท็นจมเรือสหรัฐไป 4 ลำ หนึ่งในนั้นคือเรือพิฆาตยูเอสเอส อันเดอร์ฮิลล์
อย่างไรก็ตาม อัตราการเสียชีวิตของฝ่ายญี่ปุ่นสูงมากเช่นกัน เรือดำน้ำ 18 ลำ ที่ถูกดัดแปลงให้มาทำหน้าที่บรรทุกคัลเห็นจมไป 8 ลำ จากการปล่อยตอร์ปิโดมนุษย์ ส่วนลำอื่น ๆ ถูกบังคับให้ยกเลิกภารกิจ คัลเท็นเสียหายไปทั้งสิ้น 80 ลูก
การโจมตีด้วยตอร์ปิโดมนุษย์ของอิตาลีประสบความสำเร็จมากที่สุดในแง่ของ “ผลตอบแทนการลงทุน” แต่เมื่อเทียบกับการสูญเสียชีวิตทหาร รวมถึงมนุษย์กบพลขับผู้กล้าหาญ, เวลา และค่าใช้จ่ายในการพัฒนาอาวุธ ผลตอบแทนที่ได้จาก “ตอร์ปิโดมนุษย์” ของแต่ละชาติไม่น่าจะคุ้ม
ข้อมูลจาก
พลลตรีจูเลียน ทอมป์สัน และดร.แอลแลน อาร. มิลเลตต์ เขียน, นงนุช สิงหะเดชะ แปล. 100 สิ่งของสำคัญในสงครามโลกครั้งที่ 2, สำนักพิมพ์มติชน, มีนาคม 2556
เผยแพร่เนื้อหาในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 17 สิงหาคม 2564