โควิด 19 ระบาด ล็อกดาวน์เมืองอู่ฮั่น 2020 เหมือน-ต่างจากที่อื่นๆ อย่างไร

เมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย์ ทางตอนกลางของจีน ภาพถ่ายเมื่อวันที่ 28 มีนาคม ค.ศ. 2020 ภายหลังจากการจำกัดการเดินทางเข้าเมืองได้ผ่อนคลายลงหลังจากการล็อกดาวน์ 2 เดือนเนื่องจากการระบาดของ COVID-19 (Hector RETAMAL / AFP)

กัวจิง นักสังคมสงเคราะห์และนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิสตรี วัย 29 ปี เธอเพิ่งย้ายมาอยู่ที่อู่ฮั่นเมื่อเดือน พฤศจิกายน 2019 กระทั่งเมื่อถึงต้นปี 2020 โควิด 19 เริ่มระบาดที่เมืองอู่ฮั่นเป็นครั้งแรก และลุกลามจนรัฐบาลประกาศปิดเมือง (23 มกราคม 2020) ด้วยงานที่ทำด้านสังคม และอยู่ในที่เกิดเหตุ เพื่อนๆ จึงเสนอให้เธอเขียนไดอารี่สาธารณะเพื่อบอกสิ่งที่เกิดขึ้นกับสังคม

ไดอารี่ของเธอตีพิมพ์เป็นหนังสือชื่อ ไดอารี่ล็อกดาวน์อูฮั่น (มติชน, 2563) แปลโดย เรืองชัย รักศรีอักษร ในที่นี้ขอนำบันทึกบางวัน บางตอน มาให้ท่านผู้อ่านได้เทียบเคียงประวัติศาสตร์ระยะใกล้การล็อกดาวน์ที่เมืองอู่ฮั่นเมื่อปี 2020 กับสถานการณ์ปัจจุบันเมืองอื่นที่ท่านอยู่ หรือประเทศติดตามข่าวสารเป็นอย่างไร ดังนี้ (จัดย่อหน้าใหม่ และสั่งเน้นคำโดยกองบรรณาธิการ)


 

วันที่ 24 มกราคม โลกเงียบจนน่ากลัว

โลกเงียบจนน่ากลัว ฉันพักอยู่ตามลำพัง…ฉันมีเวลาเหลือเฟือให้ครุ่นคิดว่าตัวเองจะมีชีวิตต่อไปอย่างไร ฉันไม่มีทรัพยากรและเส้นสายใดๆ ในระบบ ถ้าเจ็บป่วยก็คงเหมือนคนทั่วไปส่วนใหญ่ที่ไม่ได้รับการรักษา ดังนั้นเป้าหมายของฉันคือพยายามที่จะไม่ให้ตัวเองเจ็บป่วย ฉันต้องบริหารร่างกายให้ได้ต่อเนื่อง..

ขณะนี้รัฐบาลไม่ได้ประกาศว่าจะปิดเมืองนานแค่ไหนและไม่ได้แจ้งว่าหลังปิดเมืองแล้วจะประกันการบริหารเมืองอย่างไร มีคนคาดการณ์จากจำนวนผู้ป่วยในปัจจุบันว่าอาจจะต่อเนื่องยาวไปจนถึงเดือนพฤษภาคม

ฉันจำเป็นต้องเข้าใจสภาพรอบๆ พื้นที่ที่ฉันใช้ชีวิตเพื่อความอยู่รอด…วันนี้ฉันต้องออกไปข้างนอก…ฉันซื้อไส้กรอก อาหารสำเร็จรูป เกี๊ยว และเนื้อสัตว์…ฉันไปร้านขายยา…หลังจากกลับถึงบ้าน ฉันซักเสื้อผ่าที่ใส่ทั้งหมดและอาบน้ำ ขณะนี้การรักษาความสะอาดมีความสำคัญเป็นพิเศษ…

การออกไปนอกบ้านทำให้ฉันรู้สึกว่าได้เชื่อมโยงกับโลก ทั้งยังได้เรียนรู้กลเม็ดในการเอาตัวจากคนอื่น ในสงครามครั้งนี้ ปัจเจกชนส่วนใหญ่พึ่งตัวเองเท่านั้น ไม่มีการประกันจากระบบ ฉันยังอายุน้อย ยากจะนึกถึงสภาพของคนที่อ่อนแอกว่าอย่างผู้สูงอายุและผู้พิการ คนเหล่านี้จะชนะสงครามครั้งนี้ได้อย่างไร

 

วันที่ 5 กุมภาพันธ์ อย่าพูดง่ายๆ ว่า “เดี๋ยวก็ผ่านไป”

…เมื่อเผชิญกับโรคปอดอักเสบ เราอย่าพูดกับคนอื่นง่ายๆ ว่า “เดี๋ยวก็จะผ่านไป” เพราะมันไม่อาจผ่านไปง่ายๆ อย่างนั้น…

 

วันที่ 7 กุมภาพันธ์ ความตายหนักอึ้งเกินไป

ข่าวลือคืออะไร เรื่องนี้ใครเป็นผู้ให้คำจำกัดความข่าวลือ ใครมีอำนาจตัดสินใจและจะตัดสินอย่างไร คำว่าข่าวลือต้องมีกระบวนการพิสูจน์ได้ว่าจริงหรือเท็จ ไม่อาจตัดสินง่ายๆ ด้วยการที่ฉันไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่คุณพูด

……..
จู่ๆ ก็มีคนพูดว่า “หลี่เหวินเลี่ยง ตายแล้ว” [หลี่เหวินเลี่ยง เป็นจักษุแพทย์โรงพยาบาลกลางอู่ฮั่น เป็นผู้ส่งข้อความเตือนการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2020-เรืองชัย รักศรีอักษร]

มีคนร้องด้วยความตกใจ “อะไรนะ”

อีกคนพูด “นี่เป็นการตายที่ไม่ยุติธรรมเลย ที่เรายังมีชีวิตอยู่ก็แค่ความบังเอิญและโชคดีเท่านั้น”

ตอนเช้าฉันตื่นขึ้นหลายครั้ง พลิกตัวแล้วนอนต่อ แต่ไม่ได้หลับ เพียงแค่ไม่อยากลุกขึ้นมาเผชิญหน้า สุดท้ายฉันก็ลุกจากเตียง เปิดมือถือ มีข่าวเกี่ยวกับหลี่เหวินเลี่ยงเต็มไปหมด

มีคนสวมหน้ากากอนามัย บนนั้นเขียนข้อความว่า “ไม่เข้าใจ” เพราะหลี่เหวินเลี่ยงเคยปล่อยข่าวลือจึงทำให้ถูกตักเตือน หนังสือตักเตือนถึงเขามีความว่า

“เราหวังว่าคุณจะใจเย็นลงแล้วคิดทบทวนให้ดีๆ และต้องเตือนคุณอย่างจริงจังว่า ‘ถ้าคุณยังยืนกรานความเห็นตนเอง ไม่สำนึกผิด ยังดำเนินการเคลื่อนไหวที่ละเมิดกฎหมาย คุณจะได้รับการลงโทษตามกฎหมาย! คุณเข้าใจไหม’ ”

ตอบ “เข้าใจ”

 

วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ทุกวันอาจเป็นวัดสุท้าย

เราออกนอกบ้านได้หรือไม่ เรื่องนี้ไม่ได้อยู่ที่การตัดสินใจของเรา

เพื่อนที่อาศัยที่ตัวอำเภอหนึ่งในหูเป่ยเล่าว่า เขตอาศัยที่เธออยู่มีการห้ามเข้าออกหลายวันแล้ว เมื่อวานมีการประกาศว่าจะเริ่มห้ามเข้าออกอย่างเด็ดขาด แม้แต่จะซื้ออาหารก็ไม่ได้ ดังนั้นเมื่อวานตอนเช้าครอบครัวเธอจึงรีบใส่หน้ากากอนามัยและถือใบอนุญาตผ่านเข้าออกไปซื้อผัก ตลาดผักมีคนจำนวนมากแย่งกันซื้อ…

นี่ก็ไม่ต่างจากที่อู่ฮั่นตอนปิดเมือง มีการประกาศอย่างฉุกละหุก ผู้อยู่อาศัยไม่รู้ล่วงหน้า แล้วจะอยู่กันอย่างไร

ในการควบคุมโรคระบาด ทางการนอกจากควบคุมไวรัสแล้วยังต้องคำนึงถึงความวิตกของประชาชนด้วย แต่สภาพที่เป็นจริงกลับตรงกันข้าม

 

วันที่ 15 กุมภาพันธ์ เมืองแห่งความพลิกผัน

ความพลิกผันของความจริงนั้นน่ากลัวกว่าที่คิด

ตอนเช้าฉันอ่านพบบทความหนึ่ง หัวข้อ “มีคนซื้อหน้ากากอนามัยล็อตหนึ่ง ผู้ขายเป็นศูนย์วัฒนธรรมกรรมการฮั่นหนาน สหพันธ์กรรมกรเมืองอู่ฮั่น” เนื้อหาเล่าว่าหลังจากหน้ากากอนามัยขาดตลาด มีคนจำนวนหนึ่งตั้งขึ้นกลุ่มหาทางซื้อหน้ากากอนามัยทุกวิถีทาง

มีร้านขายของออนไลน์ร้าหนึ่งบอกว่ามีหน้ากากอนามัยส่งออกญี่ปุ่นจากโรงงานเหอหนานล็อตหนึ่ง แต่พอส่งของกลับกลายเป็นว่าส่งจากอู่ฮั่น บนกล่องสินค้ายังเขียนว่า “ของบริจาค” บทความนี้ถูกลบโดยเร็ว แต่เว็บที่เปิดโปงยังอยู่ มีคนเขียนในช่องแสดงความเห็นว่ามีเพื่อนซื้อหน้ากากอนามัยหมื่นชิ้นก็เป็นสินค้าจากอู่ฮั่น

ตอนบ่ายทางเขตพัฒนาของอู่ฮั่นลงบทความแก้ข่าวในไมโครบล็อก บอกว่าคนที่ส่งของใช้ชื่อปลอม ไม่เกี่ยวข้องกับศูนย์วัฒนธรรมกรรมกรฮั่นหนาน สหพันธ์กรรมกรเมืองอู่ฮั่น หน้ากากอนามัยที่ส่งขายผลิตโดยบริษัทผลิตภัณฑ์ป้องกันโรคหัวซือต๋าอู่ฮั่น ไม่ใช่ของบริจาค

 

วันที่ 20 กุมภาพันธ์ เงื่อนไขยกเลิกการกักตัว

การปิดกั้นข่าวสารเริ่มขึ้นก่อนปิดเมืองเสียอีก

เมื่อคืนเข้าวีแชทไม่ได้ บทความสุดท้ายก็คือ “ปอดอักเสบอู่ฮั่น 50 วัน ประชาชนจีนทั่วประเทศกำลังแบกรับความตายของสื่อเป็นค่าตอบแทน” บทความพูดว่าสื่อรายงานสารให้สาธารณะรับรู้ได้ยาก บทความของสื่อที่สำคัญคือการ “ปลอบโยน” “ให้กำลังใจ” และ “สร้างความประทับใจ”

แน่นอนว่ายังมีสื่อที่รายงานทำลายการปิดกั้นข่าวสาร หลายปีมานี้การที่บัญชีผู้ใช้อินเตอร์เน็ตของสื่อถูกปิดเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว การลบข้อความวิพากษ์วิจารณ์ตอบโต้ก็เป็นเรื่องธรรมดา เราไม่อาจรู้ว่ามาตรฐานการตรวจสอบเป็นอย่างไร ได้แต่คาดเดา เวลาเขียนบทความลงทุคนต้องเลี่ยงคำต้องห้ามใช้คำอื่นแทน

……..

ช่วงการระบาดครั้งนี้ หลี่เหวินเลี่ยงกลายเป็นคำที่ถูกตรวจจับ บทความจำนวนมากถูกลบ บัญชีผู้ใช้ถูกปิด แต่ผู้คนก็ไม่หยุดส่งเสียง

 

วันที่ 1 มีนาคม ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นอย่างไร้สุ่มเสียง

เมื่อวานนี้มีเพื่อนในหูเป่ยพูดว่า เพื่อนสนิทของแม่เธอซึ่งรู้จักกันตั้งแต่เด็กถูกแยกตัวเพราะปอดอักเสบ แล้วหลังจากนั้น 13 วันก็กระโดดตึกตาย ต่อมาศพถูกเผาทันที ไม่มีการแจ้งครอบครัว

ข่าวนี้น้าของเพื่อนอาศัยเส้นสายรู้มาจากตำรวจ พูดกันว่าเวลานี้ครอบครัวผู้ตายยังไม่รู้ แม่ของเพื่อนไม่อยากเชื่อว่าเป็นความจริง ทำอะไรไม่ถูก จึงส่งข่าวให้เพื่อนสนิทรู้

ไม่รู้ว่าทำไมทั้งหมดนี้เกิดขึ้นอย่างไร้สุ่มเสียง

หรือว่าพอถูกแยกกักตัวก็ติดต่อกับโลกภายนอกไม่ได้ จะปิดบังการเสียชีวิตของเธอได้อย่างไร

หลังการเปิดเมือง ทางครอบครัวมาตามาหาเธอ ทางการจะตอบอย่างไร

จะมีคนมากแค่ไหนที่หลังจากเลิกปิดเมืองแล้วพบว่า คนในครอบครัวที่ถูกแยกกักตัวหายไปแล้ว

เพื่อนฉันถามว่า “เป็นไวรัสที่โหดร้าย หรือคนที่โหดร้ายกันแน่”

 


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 15 กรกฎาคม 2564