ปริศนา​การตายของ Matthias Sindelar​ ตำนานนักเตะออสเตรีย ไฉนลือกันว่า “ถูกนาซี​ปลิดชีพ”

ภาพถ่าย แมตเธียส ซินเดลาร์ (Matthias Sindelar) ภาพจาก Storie di Calcio ไฟล์ public domain ฉากหลังเป็นภาพประกอบเนื้อหารูปประตูและตาข่ายในเกมฟุตบอล

แมตเธียส ซินเดลาร์ (Matthias Sindelar) ตำนานดาวเตะทีมชาติออสเตรียช่วงก่อนสงครามโลกเป็นหัวหอกคนสำคัญที่นำความสำเร็จมาสู่ทีมชาติออสเตรีย จนได้รับขนานนามว่าเป็น Wunderteam (Wonder team) ในช่วงทศวรรษ 1930s เขาถูกยกย่องว่าเป็นหนึ่งในนักเตะที่ดีที่สุดในยุคนั้น ก่อนที่จะถูกพบเป็นศพในอพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งที่กรุงเวียนนา หลายคนเชื่อมโยงการเสียชีวิตของแข้งออสเตรียรายนี้เข้ากับคำเล่าลือว่าเขาไม่ยอมเข้าร่วมฝักฝ่าย อีกทั้งยังแสดงท่าทีเย้ยหยันต่อหน้าผู้นำกองทัพนาซี-เยอรมัน

แมตเธียส ซินเดลาร์ มีภูมิหลังครอบครัวที่ค่อนข้างยากลำบาก พ่อของเขาเป็นช่างก่อสร้างที่ต้องย้ายจากเมือง Moravia มาสู่กรุงเวียนนา เพื่อเข้าทำงานเป็นช่างอิฐในย่านอุตสาหกรรมแถบเขต Favoriten และที่นี่เอง เป็นที่ซึ่งเขาได้ฝึกฝนทักษะการเล่นฟุตบอลตามท้องถนน ก่อนจะได้รับฉายาว่า Der Papierene (The Paper Man) เนื่องจากรูปร่างที่ผอมบาง หรือบางคนเรียกเขาว่า โมสาร์ทแห่งวงการฟุตบอล ในเวลาต่อมา

ซินเดลาร์ สูญเสียพ่อที่แนวรบอิตาลี ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ในปีถัดมาเมื่อเขามีอายุ 15 ปี จึงได้เข้าร่วมกับสโมสรท้องถิ่น Hertha Club ก่อนจะย้ายมาร่วมสโมสร Vienna Amateurs ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น FK Austria Vienna เขาใช้เวลาไม่นานก่อนจะได้ขึ้นเป็นผู้เล่นทีมชุดใหญ่ และเป็นขวัญใจแฟนบอลของทีมซึ่งส่วนมากมาจากชนชั้นกลางชาวยิว

เพียง 3 ฤดูกาลแรก ซินเดลาร์นำทัพต้นสังกัดคว้าแชมป์ Austrian Cup 3 สมัย และแชมป์ลีก 1 สมัย ในปีค.ศ 1933 พวกเขายังสามารถเอาชนะ Ambrosiana Milan (หรือที่ต่อมารู้จักกันในชื่อสโมสร Inter Milan) ในศึก Mitropa Cup หลังจากนั้นอีก 3 ปี พวกเขาสามารถทำได้อีกครั้งในการเอาชนะสโมสร Slavia Prague

สำหรับผลงานในทีมชาติ มาเธียส ซินเดลาร์ ถูกเรียกตัวติดทีมชาติออสเตรียและได้ประเดิมสนามครั้งแรกในปีค.ศ. 1926 เพียงนัดแรกในนามทีมชาติ ซินเดลาร์ เป็นผู้ซัดประตูชัยให้กับทีมในเกมที่สามารถเอาชนะ ทีมชาติเช็ก ไปในสกอร์ 2-1 จากนั้น ซินเดลาร์ ได้ซัลโวไปอีกสองประตูในเกมที่เอาชนะทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์ไปได้ 7-1

จนเข้าสู่ช่วงทศวรรษ 1930s ซินเดลาร์ กลายเป็นกำลังหลักของทีม ขณะที่ทีมชาติออสเตรียในยุคนั้นได้กลายเป็นทีมที่ดีที่สุดในโลก จนถูกยกย่องว่าเป็น Wunderteam (หรือ Wonder team ในภาษาอังกฤษ) โดยชื่อนี้ถูกใช้เป็นครั้งแรกในเดือนพฤษภาคม ปีค.ศ. 1931 เนื่องจากพวกเขาสามารถมีชัยเหนือทีมที่แข็งแกร่งอย่างทีมชาติสกอตแลนด์อย่างถล่มทลาย 5-0

และไม่ใช่เพียงแค่นี้ ทีมชาติออสเตรียเป็นที่จดจำจากสถิติเดินหน้ากระหน่ำประตูใส่คู่แข่งอย่างต่อเนื่อง พวกเขาเอาชนะเยอรมันนีไปได้ 6-0, สวิตเซอร์แลนด์ถูกขยี้อีกครั้ง 8-1, ฮังการีโดนไป 8-2 หรือแม้แต่ทีมชาติฝรั่งเศสยังพ่ายแพ้ไปด้วยสกอร์ถึง 4-0

ในทศวรรษ 1930s ถือว่าเป็นจุดพีกของ Wunderteam พวกเขาแสดงให้เห็นว่าเป็นทีมที่ดีที่สุด โดยมีซินเดลาร์ เป็นดาวเด่นของทีม

จนถึงเดือนธันวาคม ค.ศ. 1932 พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับทีมชาติมหาอำนาจอย่างอังกฤษ ที่สนาม Stamford Bridge การแข่งขันนัดนี้เป็นการแมตช์สำคัญที่ผู้คนในกรุงเวียนนาต่างเฝ้ารอ

แหล่งข้อมูลบางแห่งอ้างว่า ชาวออสเตรียกว่าหมื่นคนรวมตัวกันเพื่อฟังการบรรยายสดผ่านลำโพง ที่ Heldenplatz กรุงเวียนนา อย่างไรก็ตาม การเผชิญหน้ากับทีมชาติอังกฤษในครั้งนั้น พวกเขาพ่ายแพ้ไปด้วยสกอร์ 4-3 แต่ถึงกระนั้น ซินเดลาร์ ก็ยังโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเขาเลี้ยงเดี่ยวเข้าไปทำประตูทีมชาติอังกฤษอย่างน่ามหัศจรรย์

มีรายงานว่าหนังสือพิมพ์สัญชาติอังกฤษอย่าง The Times เรียกขาน ซินเดลาร์ ว่า “เป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก” ส่วน Daily Mail ยังให้คำนิยามดาวเตะรายนี้ว่าเป็น “อัจฉริยะ” แม้แต่ John Langenus ผู้ตัดสินคนดังชาวเบลเยียม ซึ่งทำหน้าที่ในการแข่งขันฟุตบอลโลกนัดชิงชนะเลิศครั้งแรก เมื่อสองปีก่อนหน้านั้น ยังได้กล่าวถึงการทำประตูของ ซินเดลาร์ ว่า “เป็นผลงานระดับชิ้นโบว์แดง ซึ่งไม่มีใครสามารถจะทำเช่นนี้กับทีมชาติอังกฤษได้”

2 ปีต่อมา เข้าสู่ช่วงทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลโลกปี ค.ศ. 1934 โดยกล่าวกันว่าปีนี้เป็นปีที่ Wunderteam อยู่บนจุดสูงสุด อีกทั้งซินเดลาร์ก็อยู่ในช่วงท็อปฟอร์ม ทีมของพวกเขาเดินหน้าคว้าชัยชนะจากคู่แข่งทั้งฝรั่งเศสและฮังการี จนเข้าไปสู่รอบรองชนะเลิศ โดยมีคู่ต่อสู้ทีมเป็นชาติอิตาลี เจ้าภาพการแข่งขันในปีนั้น

แหล่งข้อมูลบางแห่งอ้างว่า มุสโสลินี ผู้นำฟาสซิสต์ของอิตาลีขณะนั้น ต้องการใช้ทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลโลกเพื่อประกาศความยิ่งใหญ่ หรือแม้กระทั่งนักเตะของอิตาลีเองที่ต้องการสร้างความประทับใจแก่มุสโสลินี

ท่ามกลางสายฝนที่โหมกระหน่ำเสียจนพื้นสนามอยู่ในสภาพย่ำแย่ ซินเดลาร์ที่ถูกกองหลังอิตาลีจับตาเป็นพิเศษ โดยเฉพาะ Luis Monti ปราการหลังอิตาลีที่ถูกซินเดลาร์เล่นงานจนเสียท่าในการพบกันครั้งก่อน การเล่นที่หนักหน่วงนี้ส่งผลให้ซินเดลาร์ได้รับบาดเจ็บจนลงไปกองกับพื้น และเป็นขณะนั้นเองที่ทีมชาติอิตาลีสามารถทำประตูชัยจนเขี่ยทีมชาติออสเตรียตกรอบไปในปีนั้น

ถึงแม้จะพลาดแชมป์ฟุตบอลโลก และ Wunderteam จะอยู่ในช่วงโรยรา แต่ในสี่ปีต่อมาซินเดลาร์ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่สำคัญยิ่งกว่า เมื่อฮิตเลอร์ ผู้นำนาซีเยอรมัน ส่งกองกำลังเข้ายึดออสเตรียเพื่อควบรวมดินแดน ตามแผนการ Anschluss (ความพยายามรวมออสเตรียเป็นส่วนหนึ่งของเยอรมนีโดยฮิตเลอร์ เมื่อปี ค.ศ. 1938) และด้วยเหตุนี้จึงทำให้กองทัพนาซีเข้ามาเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง รวมไปถึงทีมฟุตบอลด้วย โดยทีมชาติออสเตรียจะถูกผนวกรวมกับทีมชาติเยอรมัน ตามนโยบายของกองทัพนาซี

อย่างไรก็ดี เพื่อเฉลิมฉลองการ Anschluss การแข่งขันนัดสุดท้ายจึงได้รับอนุญาตให้จัดขึ้นระหว่างทีมชาติออสเตรียและทีมชาติเยอรมัน เท่ากับว่าซินเดลาร์จะได้ลงเตะในนามทีมชาติออสเตรียเป็นครั้งสุดท้าย

ในวัย 35 ปีของซินเดลาร์ แม้จะไม่ได้อยู่ในช่วงท็อปฟอร์ม แต่จากแหล่งข้อมูลหลายแห่งมักอ้างว่า เขายังถูกเตือนไม่ให้ทำประตูในการแข่งขันนัดนี้ หรือบางแห่งก็อ้างว่า มีการกล่าวถึงการเล่นที่ผิดพลาดอยู่บ่อยครั้งของซินเดลาร์ ที่อาจเป็นการต่อให้ทีมเยอรมัน แต่ไม่มีหลักฐานซึ่งบอกได้ชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้นในเบื้องหลังของเกมกับเยอรมนีครั้งนั้น

บางรายบอกเล่ากันว่า ซินเดลาร์ ไม่ยอมปล่อยให้ผลการแข่งขันจบลงที่สกอร์ 0-0 เขาซัดประตูขึ้นนำ ก่อนที่เพื่อนร่วมทีมของเขาส่งบอลไปนอนก้นตาข่ายฝั่งทีมเยอรมันอีกหนึ่งลูก นอกจากนี้ซินเดลาร์ยังได้แสดงท่าทียียวนกวนใจ ด้วยการเต้นเฉลิมฉลองการทำประตูต่อหน้าผู้นำระดับสูงของกองทัพนาซี-เยอรมันที่รับชมการแข่งขันอยู่บนห้องวีไอพี

หลังจากนั้นซินเดลาร์ถูกกดดันให้เข้าร่วมกับทีมใหม่ที่ผนวกรวมออสเตรีย-เยอรมันเข้าด้วยกัน แต่เขาเลือกปลดเกษียณอาชีพนักฟุตบอลของตนเองเพื่อเป็นการปฏิเสธ มีข้อมูลที่ค่อนข้างชัดเจนว่า ซินเดลาร์ เป็นนักเตะที่มีแนวคิดทางการเมืองโน้มเอียงไปทางสังคมนิยมประชาธิปไตย (Social Democratic) เขาหันไปเป็นเจ้าของร้านกาแฟเมื่อเดือนสิงหาคม ปี ค.ศ. 1938 ซึ่งเขาซื้อกิจการมาจากชาวยิวที่ถูกบังคับให้เลิกกิจการ

จนถึงวันที่ 23 มกราคม ค.ศ. 1939 Gustav Hartmann เพื่อนของอดีตนักเตะดังไปพบร่างมาเธียส ซินเดลาร์ อยู่ในสภาพเปลือยกายและไร้ลมหายใจในอพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งในกรุงเวียนนา พร้อมด้วยแฟนสาวของเขาชื่อ Camilla Castignola เวลาต่อมาเธอไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาล

โดยการเสียชีวิตของทั้งคู่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจระบุสาเหตุว่าเกิดจากการสำลักก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ (carbon monoxide) ซึ่งมาจากฮีตเตอร์ที่ทำงานผิดปกติ และหกเดือนต่อมาทางการนาซีก็สั่งปิดคดีนี้ ทั้งที่อัยการยังไม่สามารถบรรลุข้อสรุปได้ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้หลายคนต่างหาคำอธิบายและข้อสรุปสาเหตุการตายในแบบต่างๆ และข้อที่ถูกพูดถึงกันมากที่สุดย่อมเป็นความเชื่อว่า นาซีอยู่เบื้องหลังการเสียชีวิตของนักฟุตบอลผู้ยิ่งใหญ่แห่งออสเตรีย

ไม่เพียงแค่สื่อในเวลานั้น เมื่อเวลาผ่านมาแล้วยังมีการเปิดเผยจาก Egon Ulbrich เพื่อนของซินเดลาร์ ในสารคดีของ BBC ในปีค.ศ. 2003 โดยเขากล่าวอ้างว่า มีการติดสินบนเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเพื่อบันทึกการเสียชีวิตของเขาว่าเป็นอุบัติเหตุ

ปริศนาการเสียชีวิตของซินเดลาร์ก็ยังคงเป็นที่กล่าวขานจนถึงทุกวันนี้ ทฤษฎีสมคบคิดถูกหยิบยกและพูดถึงกันไปต่างๆ นานา แต่บางส่วนก็เชื่อว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฏนั้นบ่งชี้ว่าเหตุที่ทำให้ซินเดลาร์ เสียชีวิตมาจากอุบัติเหตุ

โจนาธาน วิลสัน (Jonathan Wilson) คอลัมนิสต์ของ The Guardian ระบุว่า หลักฐานและบันทึกเกี่ยวกับการเสียชีวิตของซินเดลาร์ ไม่ได้ถูกทำลายและไม่ได้สูญหายไปตามข่าวลือ หลักฐานเหล่านี้ยังถูกเก็บรักษาที่เวียนนา สามารถเข้าถึงได้ หลักฐานที่คิดว่ามีน้ำหนักคือ คำร้องเรียนของเพื่อนบ้านชั้นบนของนักเตะดังบ่นมาหลายวันก่อนเกิดเหตุว่าหนึ่งในปล่องไฟบริเวณนั้นทำงานผิดปกติ

อีกมุมหนึ่งที่ถูกหยิบยกมาถกกันคือเรื่องภูมิหลังทางเชื้อชาติของแฟนสาวของซินเดลาร์ โจนาธาน วิลสัน ชี้ว่า มีความเป็นไปได้ว่าแม้เธอจะเป็นชาวอิตาเลียน แต่ก็อาจมีภูมิหลังเกี่ยวข้องกับยิว แต่ไม่ว่าจะเป็นจริงหรือไม่ หากมีความลับอยู่จริง เธอก็ปกปิดข้อมูลเอาไว้จนเธอได้รับอนุมัติสถานะเป็นเจ้าของร่วมของบาร์ได้ก่อนหน้าการเสียชีวิต 1 สัปดาห์

บางรายชี้ข้อโต้แย้งว่า ไม่มีหลักฐานเรื่องกลิ่นผิดปกติในอาคาร แต่แน่นอนว่าเรื่องกลิ่นไม่น่าจะเป็นไปได้ หากอ้างอิงจากข้อมูลสาเหตุการตายจากเจ้าหน้าที่ว่าเป็นเพราะคาร์บอนมอนอกไซด์ ซึ่งก๊าซชนิดนี้ไม่มีกลิ่นอยู่แล้ว

ไม่ว่าข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไร ชื่อของมาเธียส ซินเดลาร์ ยังคงถูกยกย่องว่าเป็นนักฟุตบอลที่ดีที่สุดในยุคหนึ่ง ซึ่งเรื่องนี้เป็นที่ประจักษ์ชัดเจนกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย


อ้างอิง :

Lea, Greg. “The goal that defied the Nazis and killed a legend”. FourFourTwo. Online. Published 9 JUN 2016. Access 21 JUN 2021. <https://www.fourfourtwo.com/features/goal-defied-nazis-and-killed-a-legend-0>

Wilson, Jonathan. “Sindelar: the ballad of the tragic hero”. The Guardian. Online. Published 3 APR 2007. Access 21 JUN 2021. <https://www.theguardian.com/football/2007/apr/03/sport.comment3>

“HISTORY’S FORGOTTEN PEOPLE: MATTHIAS SINDELAR”. Sky History. Online. Access 21 JUN 2021. <https://www.history.co.uk/article/historys-forgotten-people-matthias-sindelar>


เผยแพร่เนื้อหาในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 22 มิถุนายน 2564