“จอมพลโตโจ” ผู้สั่งโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ คิดปลิดชีพตนเอง แต่สหรัฐต้องการ “จับเป็น”

โตโจ ฮิเดกิ
โตโจ ฮิเดกิ (ภาพจาก Wikimedia Commons)

“จอมพลโตโจ” หรือนามเต็ม ฮิเดกิ โตโจ (Hideki Tojo) เป็นนายพลทหารแห่ง “กองทัพญี่ปุ่น” เป็นนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นคนที่ 27 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นหนึ่งในผู้รับผิดชอบการออกคำสั่งให้โจมตีที่ “เพิร์ลฮาร์เบอร์” และการทำสงครามอื่นๆ เป็นอาชญากรสงคราม และเป็นอื่นๆ อีกมากมาย แต่ไม่ว่าจะเป็นใคร เป็นอะไร ก็ต้องถึงตอน “อวสาน” ทั้งสิ้น และแม้จะอยากตายเพียงใด แต่บางทีชะตาก็ไม่เอื้อ

สำหรับบทสุดท้ายของ “จอมพลโตโจ” ไกรฤกษ์ นานา เล่าไว้ในบทความชื่อ “ประวัติลับหลัง ‘ท่านผู้นำ’ สงครามมหาเอเชียบูรพา คนผิดไม่ถูก คนถูกไม่ผิด” ไว้ดังนี้ (จัดย่อหน้าใหม่และเน้นคำโดยกอง บก)

จอมพลโตโจ คิดปลิดชีพตนเอง

ในช่วงปีสุดท้ายของสงคราม พ.ศ. 2488 (ค.ศ. 1945) หลังจาก จอมพลโตโจ นายทหารระดับสูงแห่ง “กองทัพญี่ปุ่น” ถูกปลดจากความปราชัยในการสู้รบทุกสมรภูมิก็ปลีกวิเวกไปอยู่ ณ บ้านไร่ในชนบท แต่ก็ยังติดตามข่าวสงครามอย่างใกล้ชิด โดยไม่คิดจะหลบหนีออกนอกประเทศ ทั้งที่สามารถจะทำได้ ดังปรากฏว่าในสถานการณ์เดียวกันนี้ ผู้นำนาซีเยอรมันหลายต่อหลายคน เมื่อตระหนักว่าเยอรมนีกำลังจะพ่ายแพ้ ในที่สุดต่างก็พากันหนีออกนอกประเทศ โดยมุ่งไปขอลี้ภัยในกลุ่มประเทศอเมริกาใต้ ที่มิได้เป็นศัตรูกับเยอรมนี และพร้อมจะให้ที่พักพิงพวกตน

และตั้งแต่กลางเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2488 (ค.ศ. 1945) เป็นต้นมา เมื่อญี่ปุ่นยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไข  ทหารอเมริกันหลายพันนายก็เข้ามาในญี่ปุ่น และเริ่มตามจับกุมแม่ทัพนายกองที่หลบไปซ่อนตัวอยู่ ณ ที่ต่างๆ เพื่อปลดอาวุธ และจับตัวคุมขังไว้รอการขึ้นศาลทหาร

จอมพลโตโจ เป็นผู้นำระดับสูงที่สหรัฐอเมริกาหมายหัว และต้องการจับกุมตัวมากที่สุด ในฐานะผู้ออกแบบนโยบายสงครามตัวจริง และเป็นผู้ออกคำสั่งให้ถล่มฐานทัพเรืออเมริกันที่ “เพิร์ลฮาร์เบอร์” เขาหลบเงียบอยู่ภายในบ้านของตนชานกรุงโตเกียวอย่างไม่สะทกสะท้านเป็นเวลาร่วม 2 สัปดาห์

อย่างไรก็ตาม ชาวอเมริกันคนแรกๆ ที่เข้าถึงตัวจอมพลโตโจกลับไม่ใช่ทหาร แต่เป็นนักข่าว 2 คน จากสำนักข่าว Associated Press ที่เข้ามาขอสัมภาษณ์อย่างไม่เป็นทางการ ในนามผู้สื่อข่าวอเมริกัน มิใช่มือมัจจุราชของกองทัพสหรัฐฯ

ขณะที่การสัมภาษณ์ดำเนินอยู่ นักข่าวคนหนึ่งขอออกไปตามช่างภาพมาบันทึกภาพด้วย และในจังหวะกลับมานั่นเอง รถทหาร 2 คันก็เข้ามาเทียบหน้าบ้าน และแสดงตนขอจับกุมตัวจอมพลโตโจ

วันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 1945 (พ.ศ. 2488) จังหวะที่ทหารเข้าจับกุม จอมพลโตโจก็ชักปืนสั้นโคลต์ .32 ที่พกอยู่ ออกมาลั่นไกปลิดชีวิตตนเองทันที โดยเล็งปากกระบอกปืนไปที่หัวใจ แต่ลูกกระสุนก็พลาดเป้าไปกลางหน้าอก ทำให้เขาไม่สิ้นชีวิตในทันที แต่จมกองเลือดฟุบลงต่อหน้าต่อตาช่างภาพและนักข่าวในที่เกิดเหตุ

แพทย์ทหารถูกเรียกเข้ามาทันทียังที่เกิดเหตุ และโดยคำสั่งเด็ดขาดของ จอมพล ดักลาส แมกอาร์เธอร์ (Douglas MacArthur) ผู้บัญชาการกองทัพสหรัฐฯ ที่ให้จับกุมตัวจอมพลโตโจแบบ “จับเป็น” ทำให้แพทย์ทหารต้องรักษาชีวิตจอมพลโตโจอย่างเต็มที่

“Tokyo Trials” พิพากษาลงโทษ

เป็นเวลาเกือบ 7 เดือนเต็ม หลังจากที่กองทัพญี่ปุ่นยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไข สหรัฐฯ ก็เข้ามาตั้งกองบัญชาการในภารกิจ “ล้างบาง” ณ กรุงโตเกียว ค้นหาหลักฐานจากสถานที่ราชการต่างๆ อย่างไม่ละเว้น พร้อมส่งหน่วยพิเศษออกตามล่า และจับกุมนายทหารญี่ปุ่นทุกกรมกองโดยไม่ไว้หน้า เพื่อนำมาขึ้น “ศาลทหาร” อาชญากรสงคราม ดังเช่นที่ได้จัดการกับกองทัพนาซีเยอรมันในยุโรป

วันที่ 3 พฤษภาคม ค.ศ. 1946 (พ.ศ. 2489) ศาลทหารพิเศษอาชญากรสงครามสำหรับตะวันออกไกล เปิดการพิจารณาคดี “Tokyo Trials” ขึ้น ผู้นำญี่ปุ่นระดับหัวหน้าในคณะรัฐบาลชุดสงคราม ที่ประกอบด้วยนักโทษระดับนายพล จำนวน 23 คน รับทราบคำพิพากษา และคำตัดสินบทลงโทษ

ในจำนวนนี้ 7 นายพล ซึ่งจัดอยู่ในชุด Class A ได้รับการตัดสินให้ประหารชีวิตด้วยการแขวนคอ ส่วนอีก 16 คนที่เหลือ มีทั้งนายพลและพลเรือนถูกตัดสินให้จำคุกตลอดชีวิต นายพลคนแรกในชุดมหันตโทษก็คือ “จอมพล ฮิเดกิ โตโจ” อดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น

นอกจากนักโทษ 23 คนที่รับโทษหนักแล้ว ก็ยังมีแม่ทัพนายกองและนายทหารขั้นหัวหน้าอีก 4,300 นาย ที่ได้รับโทษทัณฑ์ถ้วนหน้า โดยทั่วไปแล้วจากความผิดเกี่ยวกับความทารุณโหดร้ายขณะทำหน้าที่ อาทิ ฆาตกรรม ทรมานเชลยศึก คดีข่มขืน ฯลฯ ซึ่งต่างต้องโทษจำคุกกันระนาว

วันที่ 22 ธันวาคม ค.ศ. 1948 (พ.ศ. 2491) บทลงโทษความผิดแก่นักโทษอุกฉกรรจ์ก็เริ่มขึ้นที่เรือนจำซูกาโม โดยการอนุญาตให้พระสงฆ์ในพุทธศาสนานามว่า ชินโซ ฮานายามา เข้ามาประกอบพิธีภายในเรือนจำ แต่ญาติของนักโทษทุกคนไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในเขตรั้วแดนประหาร

นักโทษอุกฉกรรจ์ Class A กลุ่มแรกจำนวน 4 คน แต่งกายด้วยยูนิฟอร์มคนเก็บขยะประจำค่ายทหารอเมริกัน ถูกนำไปสู่ตะแลงแกง ประกอบด้วย จอมพลโตโจ, พลเอกดอยฮารา, พลโทมัทซุย และ พลตรีมูโต ล้วนเป็นผู้มีบทบาทในสมรภูมิที่มีเหตุการณ์สะเทือนขวัญเป็นที่โจษขานไปทั่วโลก

พลเอกดอยฮารา เป็นผู้นำการบุกและยึดครองแมนจูเรีย และการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวจีน พลโทมัทซุย เป็นผู้เปิดทางการข่มขืนชาวจีนที่นานกิง พลตรีมูโต เป็นผู้รู้เห็นการทำทารุณกรรมเชลยศึกในจีน สุมาตรา และฟิลิปปินส์  ส่วน จอมพลโตโจ เป็นผู้สร้างและบริหารนโยบายสงครามทั้งหมดของญี่ปุ่น

นักโทษทั้งสี่ถูกนำไปแขวนคอเป็นชุดแรก โดยถูกประหารทีละคน จากนั้นนักโทษสถานหนักชุดที่ 2 อีก 3 คนขึ้นสู่ตะแลงแกงเป็นชุดถัดไป โดยเว้นระยะห่าง 29 นาทีต่อราย พระสงฆ์ผู้ร่วมพิธีบันทึกว่า ได้ยินเสียงกระตุก บริเวณที่เป็นจุดประหารจอมพลโตโจ เมื่อเวลา 00.01 น. วันที่ 23 ธันวาคม ค.ศ. 1948 (พ.ศ. 2491)

ร่างของนักโทษประหารทั้งหมดถูกนำไปเผาตามประเพณี โดยไม่มีการเก็บอังคารให้ญาติของผู้ตาย เพื่อป้องกันมิให้ถูกนำไปบูชาโดยสาวกหรือผู้เห็นใจในภายหลัง บทบาทของผู้นำสงครามชาวญี่ปุ่นจึงสิ้นสุดลง ณ จุดนั้นนั่นเอง

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่ 


อ้างอิง :

ไกรฤกษ์ นานา. “ประวัติลับหลัง ‘ท่านผู้นำ’ สงครามมหาเอเชียบูรพา คนผิดไม่ถูก คนถูกไม่ผิด” ใน, ศิลปวัฒนธรรม มิถุนายน 2563


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 18 มกราคม 2564