หยวนซื่อไข่ นายพลที่ทรยศทุกฝ่ายเพื่อสถาปนาตัวเองเป็นจักรพรรดิ

หยวนซื่อไข่ นายพล
หยวนซื่อไข่ (16 กันยายน 1859 - 6 มิถุนายน 1916)

หยวนซื่อไข่ นายพลที่ทรยศทุกฝ่ายเพื่อสถาปนาตัวเองเป็นจักรพรรดิ

หยวนซื่อไข่ (16 กันยายน ปี 1859 – 6 มิถุนายน ปี 1916) เกิดในภาคกลางของมณฑลเหอหนาน ประวัติครอบครัวไม่ชัดเจน บ้างว่าเป็นตระกูลนายทหารใหญ่ที่มีชื่อจากการปราบกบฏ บ้างว่าเป็นครอบครัวชาวนายากจนที่บิดายกให้เป็นบุตรบุญธรรมของแม่ทัพใหญ่

วัยเด็กเขาไม่มีนิสัยรักการอ่านหรือสนใจตำรา แต่ชมชอบศิลปะการต่อสู้และขี่ม้า เมื่อสอบเข้ารับราชการไม่ได้ถึง 2 ครั้ง จึงหันไปเป็นทหารด้วยการซื้อตำแหน่งในปี 1880 ก่อนจะเติบโตในตำแหน่งเรื่อยมา

จนเมื่อ “ซุนยัตเซ็น” ก่อตั้งขบวนการปฏิวัติถงเหมิงฮุ่ย โอกาสของหยวนซื่อไข่ก็มาถึง

หยวนซื่อไข่ปราบฝ่ายปฏิวัติ

หยวนซื่อไข่ (16 กันยายน 1859-6 มิถุนายน 1916)

ข่าวการปฏิวัติสร้างความตื่นตระหนกแก่ราชสำนักชิงอย่างมาก และ หยวนซื่อไข่ ผู้บัญชาการกองทัพเป่ยหยาง คือบุคคลที่มีอำนาจพอจะเป็นที่พึ่งได้ในยามนั้น วันที่ 27 ตุลาคม ปี 1911 ราชสำนักชิงเรียกตัวเขากลับเข้ารับราชการอีกครั้ง โดยมอบตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดและนายกรัฐมนตรีให้เพื่อปราบปรามฝ่ายปฏิวัติ

ความวิตกเปลี่ยนมาอยู่ที่ฝ่ายปฏิวัติแทน ซุนยัตเซ็นตระหนักดีถึงกองทัพที่เข้มแข็งของหยวนซื่อไข่ นายพล ผู้ราชสำนักชิงมอบตำแหน่งให้ และเพื่อบีบให้ราชสำนักชิงสละอำนาจ ซุนยัตเซ็นจึงยื่นข้อเสนอให้หยวนซื่อไข่ ว่า ถ้าสามารถทำให้จักรพรรดิสละราชสมบัติได้ เขายินดีมอบตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐจีนให้ หยวนซื่อไข่ นายพล ขณะนั้น รับข้อเสนอดังกล่าว และนั่นทำให้ราชวงศ์ชิงสิ้นสุดอำนาจลงในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ปี 1912

แต่การเป็นประธานาธิบดีของหยวนซื่อไข่มีข้อจำกัดในอำนาจ ซึ่งเขาไม่พึงพอใจอยู่หลายประการ ไม่ว่าจะเป็นรัฐธรรมนูญที่ซุนยัตเซ็นประกาศใช้ก่อนลาออก, ข้อจำกัดในการปกครองส่วนภูมิภาค เพราะหลังปฏิวัติซินไฮ่ มณฑลต่างๆ จำนวนมากอยู่ใต้อำนาจการปกครองของทหารส่วนท้องถิ่น

ปี 1913 หยวนซื่อไข่เริ่มการรวมอำนาจ มีการกวาดล้างสมาชิกพรรคก๊กมินตั๋งเกิดขึ้น ต่อมาในวันที่ 4 พฤศจิกายน ปี 1913 หยวนซื่อไข่ก็ประกาศยุบพรรคก๊กมินตั๋ง, สั่งปิดหนังสือพิมพ์, สั่งยุบสภาผู้แทนราษฎรกับวุฒิสภาอย่างเป็นทางการ (10 มกราคม ปี 1914 )

นอกจากนี้ ในปี 1913 หยวนเค่อติ้ง บุตรชายคนโตของหยวนซื่อไข่ที่ไปรักษาอาการป่วยที่เยอรมนี มีโอกาสเข้าเฝ้า จักรพรรดิวิลเฮล์มที่ 2 ของเยอรมนี ทรงมีรับสั่งว่า “ประเทศจีนจะเข้มแข็งไม่ได้เลยหากไม่ใช้ระบบราชาธิปไตย” และทรงฝากหนังสือถึงหยวนซื่อไข่ว่า ทั้งสองประเทศมีสัมพันธ์อันดี ทั้งจูงใจให้หยวนซื่อไข่ตั้งตนเป็นจักรพรรดิ

1 พฤษภาคม ปี 1914 หยวนซื่อไข่ประกาศรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เรียกว่า “รัฐธรรมนูญฉบับหยวนซื่อไข่” เอื้อต่อการขยายอำนาจของเขา เพราะตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ประธานาธิบดีอยู่ในตำแหน่งได้ 10 ปี ทั้งสามารถขยายเวลาออกไปได้, มีอำนาจเบ็ดเสร็จในการประกาศสงคราม, ลงนามในสนธิสัญญา, แต่งตั้งข้าราชการ, ออกกฤษฎีกาใช้บังคับแทนกฎหมายในกรณีฉุกเฉิน ฯลฯ

แต่ความต้องการของหยวนซื่อไข่ยังมีมากกว่านั้น

หยวนซื่อไข่ สักการะ สวรรค์
หยวนซื่อไข่ จากนายพล สู่ จักรพรรดิ ทำพิธีสักการะสวรรค์

หยวนซื่อไข่ นายพลที่ทรยศทุกฝ่าย สู่จักรพรรดิ

วันที่ 23 ธันวาคม ปี 1914 หยวนซื่อไข่นำบรรดาข้าราชการไปสักการะสวรรค์ที่หอบูชาฟ้าเทียนถาน โดยสวมใส่ชุดและหมวกแบบโบราณ ทำพิธีกราบไหว้อย่างยิ่งใหญ่ ถือเป็นการซ้อมใหญ่ของเขาในการสถาปนาตนเองขึ้นเป็นจักรพรรดิ

ถึงปี 1915 หยวนซื่อไข่ ก็พร้อมจะจะหักหลังสาธารณรัฐจีน หลังจากที่เคยหักหลังราชวงศ์ชิง, ซุนยัตเซ็น และขบวนการถงเหมิงฮุ่ยจนถึงพรรคก๊กมินตั๋งมาแล้ว

นอกจากนี้ หยวนซื่อไข่ยังจ่ายเงินกว่า 2 ล้านเหรียญ ให้ “หยางตู้” ก่อตั้งสมาคมวางแผนสันติภาพ ที่มีวัตถุประสงค์เพียงประการเดียวคือ สนับสนุนหยวนซื่อไข่ขึ้นเป็นจักรพรรดิ ต่อมาสมาคมวางแผนสันติภาพรวบรวมข้อมูลและฎีกาถึงหยวนซื่อไข่โดยตรงว่า ประชาชนจีนต้องการให้เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสาธารณรัฐเป็นระบอบกษัตริย์

21 พฤศจิกายน ปี 1915 หยวนซื่อไข่จัดให้มีการประชุมสมัชชาในเรื่องดังกล่าว ที่ประชุมลงมติเป็นเอกฉันท์สนับสนุนให้รื้อฟื้นระบบการปกครองโดยกษัตริย์ขึ้น

11 ธันวาคม ปี 1915 ผู้แทนมณฑลต่างๆ เข้าชื่อในนามของประชาชน เรียกร้องให้หยวนซื่อไข่รับเป็นจักรพรรดิ แต่เขาปฏิเสธอย่างสุภาพว่า ตนเองยังขาดคุณสมบัติที่เหมาะสม แต่เมื่อมีหนังสือเรียกร้องยืนยันอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น หยวนซื่อไข่ก็จำต้องรับเป็นจักรพรรดิอย่าง “เสียไม่ได้”

13 ธันวาคม ปี 1915 หยวนซื่อไข่ออกฎีกาของประธานาธิบดี กำหนดให้ปี 1916 ที่จะมาถึงเป็นปีที่ 1 ของรัชกาลของจีน มีชื่อว่า “หงเสี้ยน-รัฐธรรมนูญรุ่งโรจน์” และกำหนดให้วันที่ 1 มกราคม ปี 1916 เป็นวันราชาภิเษก

ขอย้อนกลับไปเรื่องการยุบพรรคก๊กมินตั๋งโดยหยวนซื่อไข่ เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน ปี 1913 ซุนยัตเซ็นและแกนนำได้รวบรวมกำลังตั้งพรรคก๊กมินตั๋งขึ้นอีกครั้งในวันที่ 8 กรกฎาคม ปี 1914 มีองค์การจัดตั้งของพรรคทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค เพื่อต่อสู้กับหยวนซื่อไข่

วันที่ 23 ธันวาคม ปี 1915 ไช่เอ้อ-นายทหารนักปฏิวัติ ซึ่งเป็นอาจารย์สอนวิชาทหารและผู้บัญชาการกองพลน้อยที่ 47 ในหยุนหนาน ยื่นคำขาดให้หยวนซื่อไข่ยกเลิกแผนตั้งตนเป็นจักรพรรดิแต่ถูกปฏิเสธ

วันที่ 25 ธันวาคม ปี 1915 มณฑลหยุนหนานประกาศเป็นอิสระไม่ขึ้นกับรัฐบาลกลาง มีการจัดตั้งกองทัพพิทักษ์ชาติต่อสู้กับฝ่ายของหยวนซื่อไข่

หลังวันที่ 1 มกราคม ปี 1916 หยวนซื่อไข่ทำพิธีราชาภิเษกเป็นจักรพรรดิแล้ว สั่งขุนพลคนสนิทให้ยกกองกำลังไปปราบกองทัพพิทักษ์ชาติ แต่ไม่มีใครปฏิบัติตามคำสั่ง

15 มีนาคม ปี 1916 มณฑลกว่างซีประกาศเป็นอิสระไม่ขึ้นกับรัฐบาลกลาง และเกิดกองทัพต่อต้านจักรพรรดิอย่างหยวนซื่อไข่ในมณฑลซานตง ขณะเดียวกันรัฐบาลญี่ปุ่นที่เคยเป็นมิตรเพราะหวังพึ่งหยวนซื่อไข่ก็ปลีกตัวออกห่าง โดยให้เหตุผลว่า รัฐบาลจีนที่กรุงปักกิ่งไม่สามารถรักษาความสงบภายในประเทศได้ ชาติมหาอำนาจอื่นที่หยวนซื่อไข่เคยเอาผลประโยชน์ของจีนไปแลกต่างก็แยกตัวออกห่าง

22 มีนาคม ปี 1916 หยวนซื่อไข่ต้องยอมสละตำแหน่งจักรพรรดิที่เป็นได้เพียง 80 กว่าวัน และหวังว่าตนจะได้กลับมาเป็นประธานธิบดีต่อได้ จึงพยายามรื้อฟื้นคณะรัฐมนตรีขึ้นเพื่อเอาใจนักปฏิวัติ แต่สถานการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเกินกว่าที่หยวนซื่อไข่คาดการณ์และรับมือได้ มณฑลต่างๆ เริ่มประกาศตนเป็นอิสระในเวลาต่อมา เช่น 6 เมษายน-มณฑลกวางตุ้ง, 12 เมษายน-มณฑลเจ้อเจียง ฯลฯ

5 พฤษภาคม ปี 1916 นักปฏิวัติ, ทหาร และผู้นำพลเมืองของ 19 มณฑล รวมตัวกันประกาศไม่ยอมรับหยวนซื่อไข่ว่าเป็นประธานาธิบดีของจีน เรียกร้องให้ลาออก และเดินทางออกนอกประเทศ

9 พฤษภาคม ปี 1916 มณฑลส่านซีประกาศเป็นอิสระ และมณฑลอื่นในเวลาต่อมา คือ 22 พฤษภาคม-มณฑลเสฉวน, 27 พฤษภาคม-มณฑลหูหนาน

หยวนซื่อไข่ จากผู้กุมอำนาจสูงสุดของประเทศกำลังถูกโดดเดี่ยว ล้มป่วยด้วยโรคโลหิตเป็นพิษ และทรุดหนักเมื่อรู้ข่าวว่า ผู้ว่าการทหารมณฑลเสฉวนซึ่งเป็นคนสนิทของตนยังประกาศเป็นอิสระ อาการป่วยของเขาทรุดหนักทันที ก่อนจะเสียชีวิตในวันที่ 6 มิถุนายน ปี 1916

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


อ้างอิง :

ทวีป วรดิลก. ประวัติศาสตร์จีน, สำนักพิมพ์สุขภาพใจ, กุมภาพันธ์ 2547

สิทธิพล เครือรัฐติกาล. ประวัติศาสตร์จีนสมัยใหม่,  สำนักพิมพ์ชวนอ่าน ตุลาคม 2555

เส้าหย่ง, หวังไห่เผิง เขียน, กำพล ปิยศิริกุล แปล. หลังสิ้นบัลลังก์มังกร, สำนักพิมพ์มติชน ตุลาคม 2560


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 14 ตุลาคม 2563