ที่มา | ศิลปวัฒนธรรม ฉบับมีนาคม 2540 |
---|---|
ผู้เขียน | ศันสนีย์ วีระศิลป์ชัย |
เผยแพร่ |
พระองค์เจ้ายิ่งเยาวลักษณ์ หรือพระนามเต็ม พระองค์เจ้ายิ่งเยาวลักษณ์อรรคราชสุดา เป็นพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่ต่อมาทรงถูกถอดจากฐานันดรศักดิ์ สาเหตุนั้นคืออะไร?
รัชกาลที่ 4 ทรงห่วงใยพระราชธิดา
ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชนารีในพระราชสำนักฝ่ายในทรงมีโอกาสได้รับการศึกษาอย่างกว้างขวางกว่าพระราชนารีในรัชสมัยที่ผ่านมา เพราะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ จ้างแหม่มแอนนา เลียว โนเวนส์ สุภาพสตรีชาวอังกฤษเข้ามาสอนภาษาอังกฤษและความรู้เกี่ยวกับประเทศต่าง ๆ อีกทั้งยังทรงมีโอกาสได้พบปะสมาคมกับชาวต่างประเทศอย่างค่อนข้างอิสระ
โดยเฉพาะพระราชนารีรุ่นใหญ่ 3 พระองค์ ซึ่งทรงเจริญพระชันษาไล่เลี่ยกัน คือ พระองค์เจ้ายิ่งเยาวลักษณ์อรรคราชสุดา พระองค์เจ้าทักษิณชานราธิราชบุตรี และ พระองค์เจ้าโสมาวดีศรีรัตนราชธิดา พระเจ้าลูกเธอทั้ง 3 พระองค์นี้ทรงมีโอกาสใกล้ชิดกับพระบรมราชชนกมากกว่าพระราชธิดาพระองค์อื่น
ในการเสด็จประพาสหว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ตอนปลายรัชสมัยแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความอิสรเสรีที่พระราชนารีเหล่านี้ทรงได้รับ ดังที่ เซอร์ แฮรี ออด เล่าไว้ในบันทึกการเดินทางครั้งนั้นว่า
“…ส่วนพระเจ้าลูกเธอพระองค์หญิง 3 พระองค์ที่มีพระชนมายุสูงกว่าก็ทรงพระโฉมศุภลักษณ์ เสียแต่เสวยหมาก ถ้าไม่ย้อมพระทนต์ตามธรรมเนียมของชาวสยามแล้ว ต้องชมว่าเป็นสตรีที่ทรงกัลยาณีเลิศลักษณ์ทีเดียว พระกิริยามารยาทก็น่าชมและตรัสภาษาอังกฤษได้ทุกพระองค์…”
ท่ามกลางการเลี้ยงดูพระเจ้าลูกเธอตามแบบสมัยใหม่นี้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีความห่วงใยถึงชีวิตในภายภาคหน้าของพระราชโอรสธิดาทุกพระองค์ ปรากฏความห่วงใยนี้ชัดเจนในหนังสือเทศนาพระราชประวัติ พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 5 ความตอนหนึ่งว่า
“…แต่พ่อขอเสียเป็นอันขาดทีเดียว คิดถึงคำพ่อสั่งสอนให้มากนักหนา อย่าสูบฝิ่น แลอย่าเล่นผู้หญิงที่ชั่ว อย่าเล่นเพื่อนกับใครเลย มีผัวมีเถิด แต่อย่าให้ปอกลอกเอาทรัพย์ของเจ้าไปได้นัก…”
เมื่อจะเสด็จสวรรคตก็ตรัสฝากฝังพระเจ้าลูกเธอกับ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ เสนาบดีผู้ใหญ่ ไว้ว่า
“…ข้าเป็นคนลูกมากรากดก แล้วลูกก็ยังเล็กเด็กอยู่ ไหนคุณศรีสุริยวงศ์ก็ได้อุปถัมภ์บำรุงข้ามา ถ้าข้าไม่มี ตัวแล้วขอให้คุณศรีสุริยวงศ์อุปถัมภ์บำรุงลูกข้าเหมือนอย่างตัวข้า ขออย่าให้มีภัยอันตราย เป็นที่กีดขวางด้วยการแผ่นดิน ถ้าจะมีความผิดสิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นข้อใหญ่ ขอแต่ชีวิตไว้ให้เป็นแต่โทษเนรเทศ…”
ชะตาชีวิต พระองค์เจ้ายิ่งเยาวลักษณ์
แม้จะทรงมีความห่วงใยมากมายเพียงใดก็ตาม แต่วิถีชีวิตของแต่ละคนก็ย่อมต้องเป็นไปตามกรรมลิขิต ไม่ เว้นฟ้าเว้นดิน ดังวิถีชีวิตของ พระองค์เจ้ายิ่งเยาวลักษณ์ พระราชธิดาพระองค์หนึ่งในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระองค์เจ้ายิ่งเยาวลักษณ์ ทรงเป็นพระราชธิดาประสูติแต่เจ้าจอมมารดาแพ ธิดาพระสำราญหฤทัย (อ้าว ธรรมสโรช) ข้าหลวงเดิม ซึ่งทรงให้ความไว้วางพระราชหฤทัยมากคนหนึ่ง นับเป็นพระราชธิดาพระองค์แรกซึ่งประสูติเมื่อทรงพระบรมราชาภิเษกแล้ว เล่ากันว่าเป็นเพราะพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเชี่ยวชาญวิชาการด้านโหราศาสตร์ จึงน่าจะทรงรู้ถึงพระชาตาของพระเจ้าลูกเธอทุกพระองค์เป็นอย่างดี
ด้วยเหตุนี้ จึงทรงมีพระราชกระแสกับ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นพระเจ้าลูกยาเธอ กรมขุนพินิตประชานาถ ความว่า
“…ถ้าเจ้าได้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน ในกระบวนพี่น้องทั้งหมด จะมีพระองค์หญิงหนึ่งองค์ และพระองค์ชายอีกหนึ่งองค์ ทรงกระทำความผิดเป็นมหันตโทษ ขอให้ไว้ชีวิตพระองค์เจ้าพี่น้องทั้งสององค์ด้วย…”
คำทำนายปรากฏเป็นความจริง เมื่อพระองค์เจ้ายิ่งเยาวลักษณ์ หรือที่ชาววังออกพระนามว่า “เสด็จพระองค์ใหญ่” หรือ “เสด็จพระองค์ใหญ่ยิ่ง” ซึ่งอยู่ในฐานะพระเชษฐภคินี พระชนมายุได้กว่า 30 พรรษา “ได้กระทําความผิดเป็นมหันตโทษ” ดังความในจดหมายเหตุพระราชกิจรายวันลงวันที่ 19 กุมภาพันธ์ จ.ศ. 1248 (พ.ศ. 2429) บันทึกไว้ว่า
“เกิดความเป็นที่เสื่อมเสียพระเกียรติยศ คือพระองค์เจ้ายิ่งเยาวลักษณ์ ซึ่งเดิมว่าเป็นโรคท้องมานนั้น ปวดครรภ์แลคลอดออกมาเป็นลูกชายที่เรือนภายในพระบรมมหาราชวัง สมเด็จ กรมพระภาณุพันธ์ฯ กรมหมื่นนเรศร กรมหมื่นอดิศร กรมหลวงดำรง ได้จัดการที่จะชำระพิจารณาการที่ได้เกิดขึ้นต่อไป แต่ลูกนั้น เอาออกไปไว้วังกรมหมื่นอดิศรอุดมเดช
เวลา 10 ทุ่ม สมเด็จกรมพระภาณุพันธ์วงศ์วรเดช กรมหลวงเทววงศ์ได้ออกไปเมืองเพชรบุรี นำความนี้ออกไปกราบบังคมทูลพระกรุณา
ส่วนการภายใน กรมหมื่นอดิศรได้สืบสาวชำระได้ตัวอีเผือก บ่าวพระองค์เจ้ายิ่งเยาวลักษณ์ ซึ่งเป็นผู้ชักสื่อ แลอ้ายโต ผู้ล่วงพระราชอาญามาถาม ได้ความว่ารักใคร่กันมาตั้งแต่ยังเป็นภิกษุอยู่ในวัดราชประดิษฐ์จนอ้ายโตสึกมา พระองค์เจ้ายิ่งเยาวลักษณ์ได้หาตึกให้อยู่ที่ถนนเจริญกรุงแล้วลอบปืนเข้าไปในพระที่นั่งศิวาลัยมหาปราสาท เข้าไปนอนอยู่กับพระองค์เจ้ายิ่งเยาวลักษณ์ 4 คราว คราวละคืนบ้าง 2 คืนบ้าง ได้มีเรื่องราวโดยพิสดาร”
ถอดฐานันดรศักดิ์
ครั้นทรงทราบใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว ต่อมาอีก 2-3 วัน ได้เสด็จออกทรงสั่งเรื่องความผิดในวังคราวนี้ว่าทั้งคู่ประพฤติการชั่วอย่างอุกฤษฎ์ อย่างนี้เป็นมหันตโทษตามกฎมณเฑียรบาลว่า 1. ควรริบราชบาตรเป็นหลวง 2. ให้ถอดจากยศและบรรดาศักดิ์ 3. ลงพระราชอาญา 90 ที (เมี่ยน) แล้วประหารชีวิต (นี่คือโทษตามระบิลกฎมณเฑียรบาลเดิมที่มีอยู่)
แต่โดยที่ทางฝ่ายสตรีเป็นเชื้อพระวงศ์ ยังทรงมีพระมหากรุณาอยู่ จึงโปรดเกล้าฯ เพียงให้ริบราชบาตรสวิญญาณกทรัพย์ อวิญญาณกทรัพย์เข้าเป็นของหลวงสำหรับจ่ายซ่อมแปลงพระอารามและสิ่งที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างไว้ ทั้งพระราชทานอภัยโทษเฆี่ยน 90 ที (3 ยก) กับโทษประหารชีวิตนั้นให้ยกเสียด้วย เพียงให้ถอดจากยศบรรดาศักดิ์เจ้าลงเป็นหม่อม และเรียกชื่ออย่างคนธรรมดาสามัญ เอาตัวจำไว้ ณ คุกข้างใน (สนม) นอกจากนั้นให้ทำตามคำของลูกขุนผู้พิจารณาปรับโทษ ซึ่งหมายถึงฝ่ายชายผู้ล่วงพระราชอาญาต้องรับโทษตามกฎมณเฑียรบาลทุกประการ
ความผิดมหันตโทษครั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ได้ทรงทำตามพระราชกระแสขอร้องของสมเด็จพระบรมราชชนกแล้วทุกประการ และยังทรงมีพระราชดำริป้องกันเหตุการณ์มิให้เกิดซ้ำรอยขึ้นอีก ดังปรากฏข้อความในพระราชบัญญัติเกี่ยวกับพระภิกษุสงฆ์และพระราชสำนักฝ่ายใน ความว่า
“ห้ามมิให้พระภิกษุสงฆ์ที่มีพรรษาต่ำกว่ายี่สิบ (หมายถึงบวชมายังไม่ถึงยี่สิบปี) มิให้เข้าในพระบรมมหาราชวังชั้นใน ส่วนฝ่ายหญิงอุบาสิกาผู้ใฝ่พระธรรมเพียงไรก็ตาม ถ้าอายุต่ำกว่า 40 ปีแล้วไซร้ ห้ามมิให้ออกมาฟังเทศน์ ถืออุโบสถศีลที่วัดพระศรีรัตนศาสดารามเป็นอันขาด ประกาศมา ณ วันศุกร์ เดือน 3 แรม 11 ค่ำ ปีจอ อัฐศก ศักราช 1248 อันเป็นวันที่ 6644 ในรัชกาลปัจจุบัน (ที่ 5)”
แม้เหตุการณ์จะผ่านพ้น แต่ความหม่นหมองในพระราชหฤทัยยังคงอยู่ เห็นได้ชัดในพระราชหัตถเลขาที่ทรงกราบทูลกรมพระปวเรศวริยาลงกรณ์ ระบายความทุกข์เรื่องของบ้านเมืองเกี่ยวกับข้อบาดหมางระหว่างวังหลวงกับวังหน้า มีข้อความที่ทรงกล่าวถึง พระองค์เจ้ายิ่งเยาวลักษณ์ ว่า
“…เห็นท่านพระองค์ใหญ่ยิ่งเยาวลักษณ์ครั้งนี้ก็โซมมากทีเดียว กลัวหม่อมฉันจะเป็นบ้าง แต่จะเพียงนั้นหรือจะยิ่งกว่านั้นก็ไม่ทราบ…”
ข้อความในพระราชหัตถเลขา บ่งบอกถึงความไม่สบายพระทัยของพระองค์ และสภาพของพระองค์เจ้ายิ่งเยาวลักษณ์ ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าคงจะทรงทุกข์ร้อนและตรอมพระทัยในเหตุการณ์ครั้งนั้น จน สิ้นพระชนม์เมื่อ พ.ศ. 2429 รวมพระชนมายุเพียง 35 พรรษา
ถ้าจะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องที่น่าคิดว่า หากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยังทรงมีพระชนมายุอยู่ เหตุการณ์ดังกล่าวอาจจะไม่เกิดขึ้น เพราะหากไม่เป็นเพราะความรู้สึกรักและเกรงพระทัยอันเป็นธรรมดาของลูกที่มีต่อพ่อแล้ว ก็ยังมีอีกสิ่งหนึ่งซึ่งอาจบอกเหตุว่าเหตุการณ์นี้ไม่น่าจะเกิดขึ้น ก็คือพระราชดำริที่ก้าวไกลและทันสมัย เข้าพระทัยความเป็นไปของโลกและความเป็นธรรมดาของชีวิตมนุษย์เป็นอย่างดี ดังปรากฏในหลักฐานเอกสารหลายแห่ง เช่น ในประกาศพระราชทานอนุญาตให้ข้าราชการฝ่ายในทูลลาออกนอกราชการได้ มีความตอนหนึ่งว่า
“…ข้าพเจ้าคิดจะเปลื้องความลำบากที่ผู้หญิงเป็นอันมาก มาต้องยัดเยียดเบียดเสียดกันอยู่เปลืองอายุไป…” และ “…ผู้หญิงที่เป็นเมียข้าพเจ้าอยู่ก่อนลาออกไปมีผัวอยู่ข้างนอกกันหลายคน ตัวของหญิงเหล่านั้นกับข้าพเจ้าก็ดีกันหมดไม่ได้ขัดเคืองกระดากกระเดื่องกับใคร…”
และในพระบรมราโชวาทที่โปรดพระราชทานแก่พระราชธิดาก็มีข้อความว่า “…อย่าเล่นเพื่อนกับใครเลย มีผัวมีเถิด…”
จากหลักฐานพระราชดำรินี้ จึงทําให้น่าที่จะคิดได้ว่า หากทรงมีพระชนมายุยืนยาว ความเปลี่ยนแปลงในพระราชสำนักฝ่ายในเกี่ยวกับการที่พระราชธิดาจะทรงอภิเษกสมรสตามพระทัยโดยความเห็นชอบของพระบรมราชชนก อาจเกิดขึ้นในรัชกาลนี้ก็เป็นได้
อ่านเพิ่มเติม :
- รู้จัก เจ้าฟ้าจันทรมณฑล “ลูกที่เรารักที่สุด” ของรัชกาลที่ 4
- ตำนานใน “กรมหลวงศรีรัตนโกสินทร” พระราชธิดาที่ร.5 ออกพระโอษฐ์ “งามเหมือนเทวดา”
สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 8 กันยายน 2563