ซ่งไท่จ่ง ท้วงอำนาจขุนนางยึดอำนาจท้องถิ่น สร้างเสถียรภาพแต่กลับแพ้ยับเยิน

ส่วนหนึ่งของภาพ “เทศกาลเช็งเม้งริมฝั่งแม่น้ำ” ของจางเจ๋อตวน จิตรกรสมัยราชวง์ซ่ง แสดงให้เห็นถึง ทิวทัศน์ของเมืองหลวงของราชวงศ์ซ่ง และสังคมในยุคนั้น

ใน ค.ศ. 960 เมื่อจ้าวคงยิ่น ล้มราชวงศ์โฮ่วโจว (ราชวงศ์สุดท้ายในยุค 5 ราชวงศ์) ปราบดาภิเษกขึ้นเป็น พระเจ้าซ่งไท่จู่ ปฐมกษัตริย์ของราชวงศ์ซ่ง นโยบายยุคแรก ๆ ที่พระเจ้าซ่งไท่จู่ (จ้าวคงยิ่น) ทรงดำเนินการก็คือ การรวบอำนาจจากหัวเมืองท้องถิ่นต่าง ๆ เข้าสู่ศูนย์กลาง

ค.ศ. 961 เพียงไม่นานหลังจากที่พระองค์ครองราชย์ได้อย่างมั่นคง ก็เริ่มลงมือตัดกำลังอำนาจทางการทหารมาจากเหล่าแม่ทัพ พระเจ้าซ่งไท่จู่เชิญแม่ทัพสำคัญ เช่น สือโส่วซิ่น, หวังเสิ่นฉี, เกาหวายเต๋อ ฯลฯ มาเลี้ยงฉลองดื่มกินอย่างมีความสุข แม่ทัพเหล่านี้มีจำนวนไม่น้อยที่สนิทสนมกับพระเจ้าซ่งไท่จู่ เมื่อครั้งที่ยังเป็นเพียงจ้าวคงยิ่นดังเช่นพี่น้อง ทุกคนดื่มกันจนเริ่มมึนเมา จู่ ๆ พระเจ้าซ่งไท่จ่งก็ไล่องครักษ์ออกไป แล้วถอนหายใจติดต่อกัน เหล่าแม่ทัพต่างถามด้วยความตกใจว่าทรงเป็นอะไร

พระเจ้าซ่งไท่จ่งถอนหายใจแล้วตรัสว่า “ไม่มีพวกท่านก็คงไม่สามารถเป็นจักรพรรดิได้ แต่เมื่อได้เป็นจักรพรรดิแล้วก็ไม่เคยจะนอนหลับอย่างเป็นสุขเลย สู้ตอนที่เป็นผู้คุมเมืองหน้าด่านไม่ได้… ในบรรดาพวกท่านมีใครบ้างที่ไม่อยากเป็นจักรพรรดิ ที่ข้านอนหลับไม่เป็นสุขก็เพราะรู้สึกกลัว” 

เหล่าแม่ทัพรีบน้อมคำนับแล้วพูดว่า ตอนนี้ทุกคนต่างสวามิภักดิ์ ไม่มีใครกล้าคิดไม่ซื่อ

พระเจ้าซ่งไท่จู่จึงตรัสว่า “พวกท่านไม่มีใครที่คิดไม่ซื่ออย่างแน่นอน แต่หากคนในบังคับบัญชาของพวกท่านคิดอยากร่ำรวยมีวาสนา วันหนึ่งก็นำเสื้อคลุมสีเหลือง [หมายถึงฉลองพระองค์ของกษัตริย์] มาคลุมตัวพวกท่าน ถึงแม้ว่าพวกท่านจะไม่อยากเป็นจักรพรรดิแต่ก็ควบคุมหรือทำอะไรไม่ได้”

ทุกคนต่างรู้สึกหวาดกลัว และไม่รู้จะทำอย่างไร พระเจ้าซ่งไท่จู่จึงแนะนำให้พวกเขาลาออกจากราชการไปใช้ชีวิตสงบสุขที่บ้านเกิดกับครอบครัว เช่นนี้จักรพรรดิและขุนนางก็ไม่ระแวงซึ่งกันและกัน คนทั้งเบื้องบนเบื้องล่างอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข นี่จึงจะสามารถรับประกันถึงความร่ำรวยมีหน้ามีตาไปชั่วนิรันดร์ เหล่าแม่ทัพจึงเข้าใจชัดเจนในพระราชประสงค์ของพระองค์

วันต่อมาในที่ประชุมขุนนางราชสำนัก เหล่าแม่ทัพดังกล่าวต่างอ้างว่าป่วย ไม่สามารถไปเข้าเฝ้าถวายรายงานได้ และขอลาออกจากตำแหน่งในกองทัพ ขุนนางอื่นต่างแปลกใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พระเจ้าซ่งไท่จู่กลับเห็นดีกับข้อเสนอของเหล่าแม่ทัพและให้ดำเนินตามที่แจ้งมาทันที

เหตุการณ์นี้ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า จอกเหล้ายึดกำลังทหาร

ค.ศ. 969 พระเจ้าซ่งไท่จู่จัดงานเลี้ยงต้อนรับหวังเยี่ยนเชา, อู่สิงเต๋อ, กวอฉงอี้, ไป๋ฉงจ้าน ฯลฯ ซึ่งมีตำแหน่งเป็นเจี๋ยตู้สื่อ และก็เป็นเช่นครั้งก่อน พระองค์กล่าวว่า ตำแหน่งขุนพลตามหัวเมืองทำให้ขุนนางคนสำคัญเหล่านี้ต้องตรากตรำเกินไปเห็นแล้วอดสงสารไม่ได้

หวังเยี่ยนเชาฟังแล้วเข้าใจความหมายแฝงโดยทันที จึงทำเรื่องของปลดประจำการกลับไปใช้ชีวิตที่บ้านเกิดกับครอบครัว  ส่วนคนอื่น ๆ กลับพยายามบรรยายถึงความดีความชอบของคนเองในอดีต หากพระเจ้าซ๋งไท่จู่กลับตรัสว่า “เรื่องเก่า ๆ เหล่านั้นจะไปพูดถึงมันทำไม” วันต่อมาพระองค์ก็ทรงบัญชาให้ปลดเจ้าขุนพลเหล่านี้จากตำแหน่งเดิม เพิกถอนอำนานจทางการทหาร แล้วมอบตำแหน่งอื่นให้แทน

นี่เป็นอีกครั้งที่พระเจ้าซ่งไท่จู่เรียกคืนอำนาจทางการทหาร เพื่อป้องกันและหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดสถานการณ์บางแยกดินแดนขึ้น

ต่อมาพระองค์ได้จัดตั้งสภาองคมนตรี แบ่งอำนาจทางการทหารของกองทัพองครักษ์ทั้งสามรับผิดชอบเป็นผู้นำทหาร แต่ไม่มีมีอำนาจที่จะระดมกำลังทหาร สภาองคมนตรีมีอำนาจระดมทหารแต่ไม่มีอำนาจเป็นผู้นำทหาร ทั้งสองฝ่ายต่างตรึงอำนาจซึ่งกันและกัน เป็นการสร้างเสถียรภาพแบบรวมศูนย์ ที่ทำให้อำนาจทางการทหารของประเทศรวมเข้าสู่ศูนย์กลางทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีการจัดตั้งขุนนางตำแหน่ง อวิ้นสื่อ ไว้คอยจัดเก็บทรัพย์สิน ภาษีของหัวเมืองต่าง ๆ ส่งเข้าส่วนกลางเก็บเข้าท้องพระคลัง เพื่อกำจัดฐานรากทางเศรษฐกิจของพื้นที่ที่อาจเกิดการแยกดินแดน

ผลลัพธ์ในเรื่องนี้ จูซี-นักปราญช์สมัยราชวงศ์ซ่งกล่าวไว้ว่า “ยึดทั้งทหาร ยึดทั้งทรัพย์สินเงินทอง การให้รางวัลและการลงโทษ กฎหมายและคำสั่งของรัฐบาลต่างก็ยึดมาหมด” ทำให้ลัทธิเผด็จการและรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางมีความแข็งแกร่ง แต่ก็ทำให้มีจำนวนขุนนางมากเกินไป, ทหารมากเกินไป และค่าใช้จ่ายมากเกินไป ในเวลาเดียว จนประเทศตกอยู่ในสถานการณ์ที่อับจนและอ่อนแออย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องทำสงครามกับราชวงศ์เหลียง และราชวงศ์ซีเซี่ย จึงพ่ายแพ้อย่างยับเยินครั้งแล้วครั้งเล่า


ข้อมูลจาก

หลี่เฉวี่ยน-เขียน. เขมณัฏฐ์ ทรัพย์เกษมชัย-แปล. ประวัติศาสตร์จีนฉบับย่อ. สำนักพิมพ์มติชน, มกราคม 2556


เผยแพร่ข้อมูลในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 17 สิงหาคม 2563