เผยแพร่ |
---|
คนในสุวรรณภูมิ เรากิน “ข้าว” มาแล้วราว 7,000 ปีมาแล้วโดยเริ่มจาก “ข้าวป่า” ต่อก็เริ่มปลูกข้าวกินเอง ด้วยการลองผิดลองถูกมาไม่น้อยกว่า 5,000 ปี
วิธีปลูกข้าวที่ทำกันอยู่ นักวิชาการทั่วโลกจำแนกตามลักษณะสังคมที่สูง (high land) ที่ต่ำ (low land) ได้ 3 ประเภท คือ
1. เฮ็ดไฮ่-ทำไร่ หรือดรายไรซ์ (dry rice) หมายถึง ทำไร่หมุนเวียนบนที่สูง อาศัยน้ำค้างและฝน ทำคราวหนึ่งราว 4-5 ปี ต้องย้ายไปที่อื่น เพราะดินเก่าจืด
2. เฮ็ดนา-ทำนา หรือเวตไรซ์ (wet rice) หมายถึง การทำนาทดน้ำบนที่ราบลุ่ม ทำได้ต่อเนื่องยาวนานไม่ต้องโยกย้ายไปไหน เมื่อถึงฤดูน้ำหลากจะมีน้ำท่วมพัดพาเอาโคลนตะกอนเป็นปุ๋ยมาให้ตามธรรมชาติ
3. เฮ็ดข้าว-ทำข้าว, ปลูกข้าว หรือฟลัดไรซ์ (flooded rice) หมายถึง ปลูกข้าวหว่านบนพื้นที่โคลนตมเมื่อน้ำท่วมตามธรรมชาติ ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ แหล่งที่อยู่อาศัย
นักวิชาการทั่วโลกที่ศึกษาค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับบ้านเมืองในสุวรรณภูมิสมัยดึกดำบรรพ์หลายพันปีมาแล้วมีแนวคิดว่า ข้าวเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดทำให้เกิดบ้านเมืองและรัฐ
นักวิชาการทั่วไปยังเชื่อว่าพัฒนาการของสังคมเมืองและรัฐมีพื้นฐานมาจากการที่สังคมที่มีระบบเศรษฐกิจแบบที่ผลิตอาหารได้เอง (food producing economy) เคลื่อนย้ายลงสู่ที่ราบลุ่มทำการเพาะปลูกโดยอาศัยการทดน้ำและระบายน้ำ (irrigation) ช่วยเป็นเหตุให้มีการควบคุมการผลิตได้ผลดี มีการสะสมอาหารได้มากพอที่จะเลี้ยงคนได้เป็นจำนวนมาก
ทำให้คนบางจำพวกไม่จำเป็นต้องทำการเพาะปลูก หันไปทำงานเฉพาะอย่าง (Specialization) เช่น การช่าง การปกครอง และการศาสนา เป็นต้น ทำให้สังคมที่มีความสลับซับซ้อนและจำเป็นต้องจัดระเบียบแบบแผนในการอยู่ร่วมกันเกิดการมีชั้นวรรณะขึ้น และในที่สุดก็มีการจัดองค์กรขึ้นเป็นรัฐ (state) และสังคมเมืองขึ้น
สำหรับในไทยและประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใช้อื่น ๆ นั้น การเพาะปลูกพืชที่เป็นอาหารสำคัญได้แก่ การปลูกข้าวที่มีทั้งที่เป็นแบบดรายไรซ์ (dry rice) โดยใช้วิธีการเพาะปลูกแบบเลื่อนลอย และที่เป็นเวตไรซ์ (wet rice) โดยวิธีการปลูกในที่ราบลุ่ม มีการทดน้ำและระบายน้ำ พัฒนาการของสังคมเมืองและรัฐเกิดขึ้นจากสังคมที่ทำการเพาะปลูกข้าวแบบเวตไรซ์ (wet rice) เป็นสำคัญ
แต่อาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม ไม่เห็นพ้องด้วยทั้งหมดกับนักวิชาการแนวคิดตะวันตกเหล่านั้น
เพราะเมื่อเปรียบเทียบพัฒนาการของชุมชนระหว่างแอ่งสกลนครและแอ่งโคราชแล้ว ก็อาจกล่าวได้ว่า การปลูกข้าวไม่ใช่เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เกิดสังคมเมืองและรัฐขึ้น การปลูกข้าวซึ่งได้แก่ ฟลัดไรซ์ เพียงทำให้ชุมชนนั้นตั้งหลักแหล่งอยู่กับที่และมีอาหารพอเลี้ยงตัวเองได้เท่านั้น
แต่การที่จะมีพัฒนาการขึ้นเป็นรัฐนั้นต้องมีความจำเป็น และทรัพยากรอื่นที่สามารถทำให้เกิดการติดต่อเกี่ยวข้องกับภายนอกมาสนับสนุน อาจารย์ศรีศักรอธิบายว่า
“ข้าพเจ้ามีความเห็นต่อไปว่าแนวความคิดในเรื่องเวตไรซ์ (wet rice cultivation) ที่เกี่ยวกับพัฒนาการของสังคมเมืองและรัฐนั้น ถ้านำมาใช้กับบ้านเมืองในดินแดนประเทศไทยแล้ว ต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง เพราะโดยปกติมักจะเห็นว่า เวตไรซ์ หมายถึง การทำนาในที่ราบลุ่มด้วยระบบการชลประทาน (irrigation)
ซึ่งนักวิชาการบางท่านก็มองไปถึงขั้นที่ว่าเป็นการกระทำของรัฐบาล ในการควบคุมกำลังน้ำเพื่อการผลิต และพัฒนาการของรัฐจะเกิดขึ้นเมื่อเกิดมีระบบการชลประทานดังกล่าวนี้ขึ้น แนวความคิดเช่นนี้ดูเหมือนรับกันได้ดีจากการที่พบว่าตามชุมชนใหญ่ ๆ เช่นที่เมืองพระนครในประเทศกัมพูชาและที่เมืองสุโขทัยมีร่องรอยของคูน้ำคันดินและอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่เป็นจำนวนมาก เมื่อมองอย่างผิวเผินก็น่าเชื่อถือว่าสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นสร้างขึ้นเพื่อการปลูกข้าวเป็นสำคัญ”
“ข้าพเจ้ามีความเห็นว่าการปลูกข้าวในระยะแรก ๆ สัมพันธ์กับชุมชนโบราณตั้งแต่สมัยยุคโลหะตอนปลายมาจนถึงสมัยทวารวดี (ประมาณ พุทธศตวรรษที่ 12-16) ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในบริเวณภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือนั้น น่าจะเป็นการปลูกหรือหว่านข้าวลงในที่ลุ่มน้ำท่วมถึงพอสมควรแบบที่เรียกว่า ฟลัดไรซ์ (flooded rice)
บางชุมชนที่มีประชากรหนาแน่นและตั้งอยู่ในสภาพภูมิประเทศที่มีระดับน้ำไม่เหมาะสม ก็อาจมีวิธีการที่จะดำเนินการในด้านการระบายน้ำหรือทดน้ำบ้างพอสมควร ลักษณะเช่นนี้มักแลเห็นได้จากรอยของบึงนาที่มีรูปเป็นตาตะแกรงอยู่ตามพื้นที่บางแห่งหรือรอบ ๆ ชุมชนนั้น”
ประมาณพุทธศตวรรษที่ 16-19 หลัง พ.ศ. 1500 ลงมา อันเป็นสมัยที่มีการขยายตัวของประชากรและมีความสัมพันธ์กับแคว้นกัมพูชาและอื่น ๆ จากภายนอกเพิ่มขึ้น การทำนาในรูปที่สร้างคันนาเป็นรูปตาตะแกรงก็เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังมีการขยายแหล่งทำกินและการตั้งหลักแหล่งขึ้นไปบนเขตที่สูงที่เป็นส่วนลาดลงมาจากชายเขา เช่นในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พบตามขอบแอ่งกระทะของที่ราบลุ่มมูน-ชี ทั้งด้านเหนือและด้านใต้ สมัยนี้คงมีการทดน้ำและระบายน้ำพอสมควร ไม่ถึงกับเป็นการดำเนินการของรัฐ หากเป็นการกระทำของชาวบ้านที่ร่วมมือกันทำ
แต่ในทำนองตรงข้าม ปรากฏมีการสร้างอ่างเก็บน้ำ คันดิน และคลองระบายน้ำ รวมทั้งสระน้ำคูน้ำล้อมรอบชุมชนกันอย่างใหญ่โตจนเห็นเป็นรูปแบบได้ชัดเจน สิ่งก่อสร้างเหล่านี้หาได้มีความสัมพันธ์กับการชลประทานเพื่อการปลูกข้าวไม่ แต่กลับสัมพันธ์กับศาสนสถานหรือแนวความคิดทางศาสนาแทน
อาจารย์ศรีศักรย้ำว่า การชลประทานของรัฐเพื่อการเพาะปลูกนั้นแลไม่เห็นชัด แต่การชลประทาน เพื่อการเพาะปลูกข้าวในลักษณะเพื่อเลี้ยงตัวเองนั้นเห็นได้ชัดเจน
ข้อมูลจาก :
สุจิตต์ วงษ์เทศ. ข้าวปลาอาหาร ทำไม? มาจากไหน, พิมพ์ครั้งแรก มีนาคม 2551, กองทุนเผยแพร่ความรู้สาธารณะ
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 22 พฤษภาคม 2563